วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2554

13: ดร.นนต์:คุณปลื้ม

ข้อความการสนทนาธรรมต่อไปนี้ ผมขออนุญาตคุณเป็นปลื้ม นำบทสนทนาระหว่างผมกับท่านมาเผยแพร่ในเว็บบอร์ดนี้ เพื่อจะได้เป็นวิทยาทาน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในวิถีของนักปฏิบัติ จะถูกผิดอย่างไรก็ช่างมัน ขอให้ใจเราเป็นกลางๆก็พอนะครับ
ดร.นนต์
12 ตุลาคม 2554 (#5397)
.................................................................................

สวัสดีคะอาจารย์นนต์

เสียดายมากคะที่ไม่ได้ไปร่วมปฎิบัติธรรม ช่วงหลังไม่ได้ติดตามทำให้พลาดโอกาสอย่างมาก เสียดายจริงๆ.....
อยากรบกวนถามอาจารย์คะ คือปลื้มปฏิบัติช่วงแรกจิตเป็นสมาธิเร็วมากและเริ่มเห็นแสงเป็นวงกลมหลากสีสลับกัน.....และเหมือนกับเรากำลังนั่งรถไฟเหาะเข้าไปในอุโมงค์เร็วมากคะ ตอนแรกไม่กล้าจึงถอนสมาธิ.....อีกครั้งลองใจกล้านั่งดูจนเห็นดวงไฟโตเหมือนสปอรต์ไลท์สว่างมากคะ และหลังจากนั้นปีติอย่างมากเลยคะ.....แล้วไม่ได้นั่งมานาน พอมานั่งใหม่ไม่ไวเหมือนเดิมเพราะอะไรคะ ต้องเริ่มปฎิบัติใหม่อย่างไรบ้างคะ.....

และอีกกรณีหนึ่งเคยฝันมีแต่เสียงเป็นเสียงผู้ชายใหญ่ๆ บอกสถานที่หนึ่งให้เราไปคะ และไปเจอแล้วคะ..... และอีกครั้งมาบอกคำว่า อุ อา กะ สะ คะ หมายความว่าอย่างไรคะ และเราต้องปฎิบัติอย่างไรคะ.....
รบกวนขอคำชี้แนะด้วยคะ ถามผู้ใดไม่เคยได้ความกระจ่างเลยคะ.....

สุดท้ายนี้ขอให้อาจารย์นนต์เจริญในธรรมยิ่งยิ่งนะคะ.....
ปลื้มมั่นใจว่าอาจารย์นนต์จะเป็นผู้นำแสงสว่างในทางธรรมให้แก่ปลื้ม.ปลื้มมั่นใจมากคะ.....
กราบขอบพระคุณมากคะ.....

จันทร์ที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๑๐

...................................................................................

เรียนคุณปลื้ม

ทุกสิ่งจะถูกกำหนดด้วยวาระของแต่ละคน ท่านเองก็เหมือนกัน ที่ผ่านมายังไม่ใช่วาระของท่านที่จะได้เจอกัน แต่พระเบื้องบนและสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) ท่านจะสงเคราะห์ท่านเองในการเรียนรู้วิชา "จิตรู้"

ส่วนการภาวนาสมาธิที่เห็นดวงไฟสว่าง หรือแสงสีต่างๆทั้งที่เคลื่อนไหว หมุน หรือหยุดนิ่งก็ตาม นั่นเป็นอาการของผู้ที่เข้าสู่เส้นทางหรือกระแสของสมาธิแล้ว ยินดีด้วยนะครับ พระเบื้องบนและพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช ท่านบอกว่า เป็นแสงโอภาสที่เกิดขึ้นกับผู้เข้าสู่สมาธิที่เริ่มละเอียดขึ้น แสงเหล่านั้นหากเราติดตามมัน มันจะเกิดขึ้นเรื่อยๆไม่สิ้นสุด ดังนั้นพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านบอกว่า ขอให้ตามรู้แค่นิดหน่อยก็พอ แล้วก็ละวางมันเสีย ให้ภาวนาสมาธิต่อไป หรือจะเข้าสู่การวิปัสสนาก็ได้ อาการปีติเป็นอาการปรกติของนักภาวนา ส่วนมากจะเกิดขึ้นในฌาน 1-2 ส่วนฌาน 3 จะมีแต่อาการสงบสุข อิ่มเอิบ สบาย ส่วนฌาน 4 นั้น จะมีแต่ความสงบคล้ายนอนหลับ ไม่รับรู้อะไรเลย เมื่อมันอิ่มตัวฌานจะดีดตัวออกมาเองโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะต่างจากอาการตกบันไดในภวังค์ครับ เมื่อเราไม่ได้ปฏิบัติต่อเนื่องก็เหมือนกับนักกีฬาไม่ได้ซ้อม ดังนั้นควรหาเวลาภาวนาอย่างน้อย 5-10 นาทีในแต่ละวัน เพื่อให้เกิดการทรงฌานทรงญาณให้ต่อเนื่อง การภาวนาไม่จำเป็นจะต้องนั่งหลับตา การขับรถก็สามารถภาวนาได้ หรือขอให้มีสติรับรู้ทุกอาการในขณะเราปฏิบัติงานก็ได้

เสียงผู้ชายเสียงใหญ่ๆนั้น เป็นเสียงของหลวงปู่โตครับ ส่วนคำว่า อุ อา กะ สะ นั้น เป็นคำในพระคาถาชินบัญชร ให้ใช้เวลาระลึกถึงองค์หลวงปู่โต แล้วท่านจะเสด็จมาหาครับ เพราะภพสุดท้ายของท่านเกิดในราชสกุลและเคยใกล้ชิดหลวงปู่โตและเคยรู้จักกันกับผมในภพสุดท้ายด้วยครับ

แสงสว่างของท่านได้บังเกิดขึ้นแล้ว เพราะท่านได้เข้าสู่อริยบุคคลแล้ว พระ............ระดับละเอียด จึงขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ เมื่อท่านได้รับการสงเคราะห์จากพระเบื้องบนแล้ว ภูมิธรรมของท่านจะเป็นแบบก้าวกระโดดอีกครั้ง จึงขออนุโมทนาล่วงหน้าด้วยครับ

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
10 ตุลาคม 2554
.................................................................................


เรียนอาจารย์นนต์.....

ก่อนอื่นปลื้มกราบขอโทษอาจารย์นนต์ที่ถือวิสาสะเรียกว่าอาจารย์ทั้งที่ยังไม่ได้ขออนุญาติ ปลื้มขอฝากตัวเป็นศิษย์ด้วยนะคะ เพราะปลื้มปฎิบัติสมาธิยังไม่มีครูชี้นำเป็นเรื่องเป็นราวเลยคะ อาศัยอ่านเอาและตามความน่าจะเป็น ตามที่จิตคิดเองไม่รู้ว่าถูกผิดอย่างไร ถือเป็นโอกาสอันดีที่ปลื้มจะเริ่มปฎิบัติถูกแนวเสียที.....

ปลื้มได้อ่านข้อมูลที่อาจารย์นนต์ให้มารู้สึกดีใจและกระจ่างหายความสงสัยที่มี และรู้สึกว่าตนเองมีวาสนาเหลือเกิน ปัจจุบันนี้ปลื้มตื่นมาประมาณตี ๕ กว่าสวดมนต์ทำสมาธิคะ เริ่มตั้งแต่ที่เข้าไปอ่านบทความของอาจารย์ที่กลุ่มสายธรรมปลื้มใช้ชื่อ.............คะ แต่ก่อนปลื้มตื่นประมาณ ๙-๑๐ โมงเดี๋ยวนี้เปลี่ยนแล้วคะ.....

อาจารย์นนต์คะ ที่องค์หลวงปู่โตให้ปลื้มได้ยินเสียงท่านต้องการให้ปลื้มทำอะไรรึเปล่าคะ และคำว่า อุ อา กะ สะ แปลว่าอะไรคะ ปลื้มใช้เวลาระลึกถึงองค์หลวงปู่โตเวลาปรารถนาให้ท่านเสด็จมาเท่านั้น หรือว่าสามารถภาวนาได้ตลอดคะ คนอื่นสามารถภาวนาคำนี้แล้วองค์ท่านเสด็จมาเหมือนกันหรือเฉพาะปลื้มคะ.....

ปกติปลื้มภาวนาบทของขรัวตาแสง(ฉบับที่อาจารย์นนต์ปรับปรุงคะ)เป็นประจำขณะขับรถ ตอนนอนฯลฯ

พรุ่งนี้วันออกพรรษาทุกปีปลื้มจะไปฟังเทศน์มหาชาติ ๑๓ กัณฑ์ทั้งวันทุกปี ปลื้มมีเรื่องเรียนถามอาจารย์นนต์คะ
ว่าทุกปีพอจบพิธีปลื้มจะนั่งกำหนดจิตให้กว้างรอบอุโบสถแล้วพยายามดูดมาที่ตัวทางกระหม่อม พอออกจากอุโบสถหันหน้าไปที่พระจันทร์และกำหนดจิตนำพลังแสงจันทร์มาที่ตนเองทางกระหม่อมไม่ทราบจะเป็นอะไรหรือเปล่าคะแต่รู้สึกว่าต้องทำอย่างนี้โดยไม่ได้มีใครบอก ขอคำชี้แนะด้วยนะคะไม่รู้ทำถูกผิดไปประการใดบ้าง

ปลื้มเลยรบกวนอาจารย์เยอะแยะเลยคะ ปลื้มอนุโมทนาบุญทุกประการกับอาจารย์นนต์ด้วยคะ

กราบขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์นนต์และขอให้อาจารย์นนต์เจริญในธรรมยิ่งยิ่งไปคะ

เป็นปลื้ม
วันอังคารที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๔
............................................................................................


เรียนคุณเป็นปลื้ม

ผมขออนุโมทนาในจิตที่ท่านเรียกผมว่าอาจารย์ นามทั้งหลายเป็นสิ่งสมมุติ ท่านจะเรียกอย่างไรก็ได้ ขอให้ใจนั้นบริสุทธิ์ก็พอนะครับ

ผมเองเคยปฏิบัติมาโดยไม่เคยมีครูเป็นตัวเป็นตน จะมีก็แต่พระบรมครูคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ผ่านทางด้านพระไตรปิฎก และธรรมบรรยายของพระอริยเจ้าเท่านั้น การปฏิบัติในช่วงแรกๆ จึงเป็นการทดลองไปเรื่อย คิดเอง ปรุงเอง ภาวนาไปเอง เคยดึงพลังจักรวาลทั้งที่ไม่เคยรู้จัก จนธาตุภายในแตกก็มี รวมถึงมโนมยิทธิที่ผมนึกเอาเอง(ไม่รู้ว่าคืออะไร) ต่อมาภายหลังจึงรู้ว่าหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเป็นผู้นำมาสอน การภาวนาสมาธิไม่มีหลักตายตัว จริตของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ผมเองไม่เคยมีภาพนิมิตเป็นเรื่องราวนอกจากแสงโอภาสบ้างเล็กน้อย อาจจะโชคดีมากกว่าที่ไม่เกิดภาพนิมิต เพราะหลวงปู่มั่นท่านก็หลงภาพนิมิตอยู่นาน สุดท้ายท่านก็บอกว่ามันไม่ใช่ทางของการภาวนาเพื่อความหลุดพ้น ปัญญาที่เกิดจากการวิปัสสนาต่างหากที่ทำให้เราหลุดพ้น อย่างไรก็ตาม สมถะสมาธิก็จำเป็นต้องใช้เป็นของคู่กันไป

นักภาวนาทั้งหลาย เมื่อได้เข้าสู่เส้นทางของจิตแล้ว วิถีของการปฏิบัติจะเปลี่ยนแปลงไปโดยอัตโนมัติ อย่างที่ท่านกำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ การเข้าการถอนสมาธิ การนอน การตื่น จะเป็นไปโดยอัตโนมัติ วิถีของจิตที่หมั่นฝึกฝนภาวนามันจะนำทางการปฏิบัติของเราไปเอง การเจอพ่อแม่ครูอาจารย์ในมิติเหนือโลก และพ่อแม่ครูอาจารย์ในมิติของโลก(เป็นตัวเป็นตน) ก็จะบังเกิดขึ้นในวาระอันควร คือ เมื่อวาระการปฏิบัติของเราเพียงพอต้องได้รับการสั่งสอนจากพ่อแม่ครูอาจารย์แล้ว เราก็จะได้พบเจอเอง เพราะเราเป็นสาวกภูมิจึงต้องมีผู้สั่งสอนจึงจะสามารถบรรลุธรรม ส่วนพระนิยตโพธิสัตว์เจ้าท่านจะบรรลุธรรมด้วยตัวของท่านเอง เพราะเป็นวิสสัยของพระพุทธเจ้า

ส่วนคำ อุ อา กะ สะ จากที่ผมถามในจิตได้คำตอบว่า เป็นคำย่อที่มีอยู่ในพระคาถาชินบัญชร ใช้เวลาระลึกถึงองค์สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) ทุกคนสามารถใช้ได้ แล้วท่านจะเสด็จมาโปรดเองครับ ส่วนคำแปลนั้น ผมยังไม่ทราบความหมาย เพราะเป็นคำบาลีหรือ.... หากรู้แล้วจะแจ้งให้ทราบครับ คำนี้อาจใช้ภาวนาสมาธิก็ได้ และอาจรู้สึกเสมือนญาณในจะเปิดได้ด้วย ลองดูนะครับ หากได้ผลอย่างไรก็แจ้งมาให้ทราบด้วยนะครับ ส่วนคาถาของขรัวตาแสงนั้น ก็ใช้ได้แล้วแต่ความสะดวกของท่านก็แล้วกัน

การกำหนดจิตไปรอบโบสถ์หรือในจักรวาลหรือในที่ใดๆก็ตามหลังจากที่เราได้ทำบุญแล้ว บุญนั้นย่อมมีพลังส่งไปถึงที่ที่เรากำหนดได้ นักภาวนาเมื่อปฏิบัติไปได้ระยะหนึ่ง จิตมันจะมีกำลังสามารถส่งออกไปได้ถึงนอกจักรวาล ดังนั้นสิ่งที่จะส่งออกไปนั้น หากเป็นกุศลจิตย่อมสมควรที่จะกระทำได้ และพระเบื้องบนก็จะโมทนา ส่วนอาการเกิดขึ้นตุ๊บๆที่กระหม่อมหรือศรีษะนั้น มันจะคล้ายกับอาการของผู้ที่เรียนวิชาจักกระคือจุดที่เจ็ด ผมเรียกว่าเกศธาตุ เป็นจุดรับคลื่นพลังงานที่อยู่สูง คือคลื่นของพระเบื้องบน หรือเทพเบื้องบนที่มีบารมีสูงๆ แล้วพลังงานจะแผ่ลงไปสู่เบื้องล่างตามแกนของร่างกายคือกระดูกสันหลัง แล้วแผ่ออกไปตามสาขาของร่างกายคือ แขนขา จนกระทั่งทั่วทั้งตัว ถ้าเรามีไหวพริบ ก็จงเรียนรู้วิธีนำเอาพลังนั้นมาใช้ โดยการใช้จิตหรือมโนมยิทธิในการปรับธาตุขันธ์ของเรา โดยการกำหนดเอาพลังนั้นเคลื่อนไหวไปตามส่วนต่างๆของร่างกายแบบนุ่มนวล ให้มองเห็นแสงสว่างสีขาวนุ่มนวลตากระจายไปทั้งร่างกาย เมื่อทำไปได้สักระยะ กายและจิตของเราจะผ่อนคลายลง เหลือไว้แต่ความชุ่มชื่นอิ่มเอิบกายและใจ นั่นคือ ผลของบุญที่เราแผ่ออกไปด้วยกุศลจิต และพละกำลังที่ได้รับจากผู้ที่แผ่บุญกลับมาหรือคำอนุโมทนาของผู้ที่ได้รับแล้วส่งกลับมาหาเรานั่นเอง

สิ่งทั้งหลายที่บังเกิดขึ้นกับนักภาวนา ขออย่าได้ตกใจ จงนำเอาปรากฏการณ์นั้นๆ หรือนิมิตนั้นๆ มาพิจารณาเป็นอุบายธรรม เจริญในธรรมข้อนั้นๆ แล้วสิ่งมหัศจรรย์แห่งจิตก็จะบังเกิดขึ้น การบรรลุธรรมในข้อนั้นๆก็จะบังเกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัว เป็นแบบอัตโนมัติ ที่เขาเรียกว่า ถึงแล้ว จะรู้เอง

สิ่งทั้งหลายที่ผมได้บรรยายออกมานี้ ก็ลองนำไปพิจารณา จะผิดจะถูกท่านจะทราบด้วยตัวท่านเองครับ

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
12 ตุลาคม 2554