วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2554

24: พระนิพพาน

1) บรรดานักคิดนักแต่งทั้งหลาย ได้พากันโฆษณามาหลายร้อยปีแล้วว่า พระนิพพานเป็นสภาพสูญ แต่พอมาอ่านหนังสือของพระอรหันต์ท่านเขียน คือ หนังสือวิสุทธิมรรค ท่านกลับยืนยันว่าพระนิพพานไม่สูญ ดังท่านจะเห็นตามบาลีทั้ง 8 ที่ท่านยกมาเป็นองค์ภาวนานั้น คือ มัททนิมมัทโน พระนิพพานตัดความเมาในชีวิต วิปาสวินโย นิพพานบรรเทาความกระหายในกามคุณ 5 อาลยสมุคฆโต พระนิพพานถอนอาลัยในกามคุณ วัฏฏปัจเฉโท พระนิพพานตัดวนสามให้ขาด ตัณหักขโย พระนิพพานมีตัณหาสิ้นแล้ว หรือสิ้นตัณหาแล้วเข้าสู่พระนิพพาน วิราโค มีความเบื่อหน่ายในตัณหา นิโรโธ ดับตัณหาได้สนิทแล้ว โดยตัณหาไม่กำเริบอีก นิพพานัง มีความดับสนิทแล้วจาก กิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม อันเป็นเหตุให้เกิดอีกในวัฏฏสงสาร
ความหมายตามบาลีที่ท่านว่าไว้นี้ ไม่ได้บอกว่าท่านที่ถึงนิพพานแล้วสูญ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นความเห็นผิด เมื่อบาลีท่านยันว่า นิพพานไม่สูญแล้ว ท่านบรรดานักเขียนนักแต่งทั้งหลาย ท่านเอามาจากไหนว่า นิพพานสูญ อันนี้น่าจะเกิดจากความเข้าใจผิดอะไรกันสักอย่าง เพราะมีพระบาลีบทหนึ่งว่า นิพพานัง ปรมัง สุญญัง แปลว่า นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง ท่านอาจจะไปคว้าเอา ปรมัง สุญญัง โดยเข้าใจว่า สูญโญเข้าให้ เรื่องถึงได้ไปกันใหญ่


2) นิพพาน นิพพาน เขาแปลว่า ดับ คือดับความชั่ว ได้แก่ โลภะ ความโลภ โทสะ ความโกรธ โมหะ ความหลง เป็นอารมณ์จิตที่บริสุทธิ์ ไม่มีความชั่วเจือปน เขตของพระนิพพานไม่มีความตาย ไม่มีการป่วย ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ฉะนั้น ถ้าท่านพุทธบริษัทสงสัย ก็พยายามฝึกมโนมยิทธิ หรือ ทิพย์จักขุญาณได้พอสมควร ท่านจะรู้ได้รู้จักสภาวะของ พระนิพพาน ดีกว่าอ่านหนังสือแล้วก็เดาเอา


3) พระนิพพาน มีแดนไหม หรือว่าพระนิพพานสูญ สูญหรือไม่สูญมีแดนหรือไม่มีแดน ถ้าเราคือสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ต้องคิด คิดว่าธรรมใดที่องค์สมเด็จพระธรรมสามิสร สอนเราในชาตินี้ ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ว่า นี่เป็นเชื้อของความทุกข์ มันก็ทุกข์จริง ๆ อันนี้เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข มันก็สุขจริง ๆ อันนี้ของสกปรกโสมมมันไม่สะอาด มันก็สกปรกจริง ๆ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรา เราพิจารณาเห็นแล้วว่าเป็นความจริงทุกอย่าง ฉะนั้นแดนที่มีความสุขจริงอย่างยิ่ง ไม่มีทุกข์เจือปน ก็คือ แดนพระนิพพาน แดนพระนิพพานก็เป็นแดนจริง ๆ มีความสุข จริง ๆ และก็ต้องมีจริง


4) สำหรับท่านที่รักการปฏิบัติจริง เรื่องมรรคผลนิพพานเป็นเรื่องใหญ่ นิพพานที่เข้าใจกันว่าสูญนั้นเป็นการเข้าใจผิดชัด ๆ ความจริงนิพพานไม่สูญ เป็นแดนพิเศษที่เหนือเทวดาและพรหม มีความสวยสดงดงามมากกว่าเทวดาและพรหม มีความสุขละเอียดกว่า สุขุมกว่า ไปไหน มาไหนได้สบาย ไม่มีสภาพสิ้นซากหรือไร้ความรู้สึก


5) ถ้าอยากจะเห็นพระนิพพาน ต้องเจริญวิปัสสนาญาณ ให้ได้บรรลุพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำ อาศัยญาณที่ได้ไว้ในสมัยโลกียฌาน และอาศัยผลที่เป็นพระอริยะ ท่านเรียกญาณที่ได้ว่า วิมุตติญาณทัสสนะ แปลว่า หลุดพ้นจากกิเลสพร้อมด้วยฌานเป็นเครื่องรู้ เท่านี้พระนิพพานก็ปรากฏชัดแก่ญาณจักษุ พระโสดาบันนี้ได้แต่เห็นพระนิพพาน ยังอาศัยนิพพานเป็นที่พักผ่อนไม่ได้ ถ้าสำเร็จอรหัตตผลแล้ว ท่านก็ไปนอนค้างบนนิพพาน อันเป็นสถานที่อยู่สำหรับตนได้เลย บนนิพพานก็คล้ายกับพรหม มีวิมาน แต่วิจิตรมาก ร่างของท่านที่เข้าพระนิพพานเป็นทิพย์ ละเอียด ใสสะอาด ใสคล้ายแก้วประกายพรึก มีรัศมีสว่าง มากกว่าพรหม อย่างเทียบกันไม่ได้เลย มีความสุขที่สุด อย่างไม่มีอะไรเปรียบ เพราะความรู้สึกอย่างอื่นไม่มี มีแต่จิตสงเคราะห์


6) ถ้าถามว่า ถ้าคนเขาอยากไปพระนิพพานเป็นตัณหาไหม ก็เห็นจะ 99 เปอร์เซ็นต์ที่ตอบว่า คำว่าอยาก แปลว่า ตัณหา ในเมื่ออยากไปพระนิพพาน ก็แสดงว่าเป็นตัณหาเหมือนกัน ก็เลยบอกว่านี่แกเทศน์แล้วแกก็เดินลงนรกเลยสบาย ไปเสียคนเดียวก่อน ดีกว่ามาชวนชาวบ้านเขาไปอีก ถ้าต้องการไปนิพพาน เขาเรียกว่า ธรรมะฉันทะ มีความพอใจในธรรม เป็นอาการซึ่งทรงความดี พวกเราฟังแล้วจำไว้ด้วยนะ ถ้าใครเขาถามจะได้ตอบถูก


7) การเข้าพระนิพพานไม่มีอะไรยาก เพียงแต่ชนะใจตัวเองเท่านั้นคือ
- ไม่ทำหรือคิดว่าจะทำความชั่วทุกอย่าง(ตามแบบศีล 5 )
- สร้างความดีที่ทำให้เกิดความสุขแก่ตนและคนอื่นทุกอย่าง
- ชำระใจให้เข้าใจในเหตุผล เคารพตามความเป็นจริง ไม่มีอารมณ์ฝืนกฎธรรมดา เห็นโลกเป็นทุกข์ตามความเป็นจริง รู้เหตุที่จะทำให้เกิดทุกข์ คือ ความอยากไม่รู้จบ ไม่สนใจกับความเคลื่อนไปของสิ่งมีชีวิต ไม่ต้องการความเกิดรู้ตัวเสมอว่าทรัพย์สินที่หามาได้นั้น เราไม่มีโอกาสปกครองได้ตลอดกาล เมื่อถึงเวลาต้องพลัดพรากจากมันเป็นปกติ เมื่อมันจากเรา หรือเราจากมัน ไม่มีอารมณ์เป็นห่วงหรือหนักใจ เห็นความตายเป็นกีฬาสำหรับเด็ก เท่านี้จะทำให้ใจสบาย เรื่องสวรรค์หรือพรหมถือว่าต่ำเกินไป ไปนิพพานเลยดีกว่า นิพพานมีแต่สุข หาทุกข์ไม่ได้


8) ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง มีอารมณ์จับพระนิพพานเป็นอารมณ์ จิตมันก็ไม่ถอย เมื่อจิตมันไม่ถอยทำอย่างไร ก็มีอย่างเดียว การก้าวไปสู่พระนิพพาน


9) แต่ว่าขอเตือนสักนิด ถ้าจะทำจิตของเราให้ทรงอารมณ์เป็นพระนิพพานจริง ๆ ขอบรรดาท่านภิกษุ สามเณร และท่านพุทธบริษัทชายหญิง จงพยายามทรงทรงอารมณ์ บารมี 10 ประการ ไว้ให้ครบถ้วน อันนี้ทิ้งไม่ได้ เกาะบารมี 10 ประการ ว่าสิ่งไหนบ้างที่ยังไม่มีสำหรับเราเรายังบกพร่อง อย่าให้บกพร่อง และใช้กำลังสมาธิควบคุมให้ทรงตัวให้มีกำลัง จรณะ 15 ที่เป็นกำแพงกั้น ที่จะไม่ให้เราตกอยู่ในภาวะของความชั่วแห่งจิต และใช้ อิทธิบาท 4 เป็นเครื่องสนับสนุน ให้เราเข้าถึงความสุข ทรงกำลัง 3 ประการให้ทรงตัว แล้วใคร่ครวญหาความจริงว่า ร่างกายมันเป็นโทษ มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา หาความดีไม่ได้ เกิดเป็นคน เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม ก็ไม่พ้นทุกข์ จิตยึดอารมณ์พระนิพพานเป็นอารมณ์


10) การเป็นพระอรหันต์ไม่เห็นยาก คือ ตัดความพอใจในโลกทั้งสาม มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ตัดราคะ ความเห็นว่ามนุษย์โลกสวย เทวโลกสวย พรหมโลกสวย โลกทั้งสามไม่มีความหมายสำหรับเรา เราไม่ต้องการสิ่งที่เราต้องการคือ พระนิพพาน มีความเยือกเย็นเป็นปกติ ไม่เห็นอะไรเป็นเราเป็นของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากระทบถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา มีขนตกอยู่เป็นปกติ คือว่าไม่มีการสะดุ้งหวาดหวั่นอันใด


11) พระอรหันต์ย่อมไม่ปรากฏเห็นว่าอะไรในโลกนี้เป็นเราเป็นของเรา ไม่เห็นว่าอะไรในโลกนี้เป็นของดีและก้ไม่เห็นว่าอะไรในโลกนี้เป็นของเลว ทั้งนี้เพราะพระอรหันต์ยอมรับนับถือกฎแห่งความเป็นจริง ว่า ธรรมดาของโลกนี้เป็นอย่างนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เป็นกฎธรรมดาไปหมด ไม่มีอะไรเป็นเครื่องสะเทือนใจ พระอรหันต์ เขาด่าก็ไม่สะเทือนใจ เขาชมก็ไม่สะเทือนใจ อะไร ๆ เกิดขึ้นมาทั้งทีก็เป็นเรื่องธรรมดา


12) ถ้าจะถึงอรหันต์ ทีนี้อารมณ์ใจมันสบายทุกอย่าง คือว่าไม่หลงในฌาน ฌานทุกอย่าง ทั้ง รูปฌาน และ อรูปฌาน เราพอใจ แต่คิดแต่เพียงว่านี่เป็นบันไดก้าวขึ้นสู่อริยะเบื้องสูงเท่านั้น ไม่ใช่มานั่งหลงว่ากันทั้งวันทั้งคืน นั่งกรรมฐานตลอดวันตลอดคืน นั่นมันยังเป็นเด็กเล็ก ๆ อยู่ ทีนี้หลงในฌานไม่มี ตัวมานะ ถือว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขาไม่มี และอาการณ์ฟุ้งซ่าน สอดส่ายไปสู่อารมณ์อกุศลไม่มี และตัวสุดท้ายก็เห็นว่าโลกทั้ง 3 โลก คือ มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ไม่มีความหมายสำหรับเรา เห็นสภาวะของโลกทุกอย่างนี้ทั้ง 3 โลก มันเป็นแดนของความทุกข์ สิ่งที่มีความสุขที่สุดคือ พระนิพพาน อันนี้ ถ้าเป็นสุขวิปัสสโก ท่านจะมีความสบายมาก สบายในอารมณ์ ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ยอมรับนับถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่า พระนิพพานมีจริง และพระนิพพานเป็นดินแดนของความสุข แม้ท่านจะไม่เห็น หากว่า พระวิชชาสาม ก็ดี อภิญญา 6 ก็ดี ปฏิสัมภิทาญาณก็ดี นี่เขาไปที่พระนิพพานได้เลย จะสามารถเห็นพระนิพพานได้เท่า ๆ กับเห็นของที่มองอยู่ตรงหน้า แล้วเขาก็จะรู้สภาวะว่า ถ้าเขาทิ้งอัตภาพนี้แล้ว เขาจะไปอยู่ตรงไหน เพราะพระนิพพานไม่ได้มีสภาพสูญ เขาก็เข้าสู่จุดของเขาเลยที่พระนิพพาน เข้าที่อยู่ได้ ไปไหวพระพุทธเจ้าได