ลำดับความรุนแรงแห่งการให้ผลของกรรมชั่ว
พระพุทธเจ้าตรัสถึงกรรมหนัก ซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ไปเกิดในอบายไว้
โดยทรงลำดับความรุนแรงแห่งการให้ผลไว้ดังนี้ คือ
๑.
นิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม เป็นกรรมที่รุนแรงที่สุด และให้ผลก่อนกรรมอื่น ๆ
ทั้งหมด
๒. อนันตริยกรรม ๕ ประการ
โดยความรุนแรงรองจากนิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม โดยทรงตรัสว่า ในอนันตริยกรรม ๕ อย่างนี้
เริ่มต้นแต่ สังฆเภทกรรม ซึ่งเป็นกรรมที่หนักที่สุด ,รองมาคือ
ทำพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต ,รองมาคือ ฆ่าพระอรหันต์, รองมาคือ ฆ่ามารดา
และสุดท้ายคือ ฆ่าบิดา
๓. อัตตวินิบาตกรรม ได้แก่ การฆ่าตัวตาย
ซึ่งมีผลรุนแรงมาก รองจากอนันตริยกรรม
กรรมชั่วหรือกรรมไม่ดีหรืออกุศลกรรม
หรือการกระทำที่เป็นอกุศลที่จะทำให้ได้รับผลกรรมนั้น (ที่เรียกว่าเสวยผลของกรรม)
ทันทีตาย โดยไม่มีกรรมอื่น ๆ มาแทรกได้เลย เรียกว่า
มิจฉัตตนิยตธรรม
มิจฉัตตนิยตธรรม
คือสิ่งที่เป็นสิ่งไม่ดี
การกระทำหรือความคิดที่ไม่ดี เป็นความชั่ว
และจะทำให้ผู้กระทำได้รับผลหรือต้องเสวยผลของกรรมนั้นทันทีที่ตายลง (คือ ไปอบาย)
โดยไม่มีกรรมไม่ว่าชั่วหรือดีแค่ไหนก็ตาม
อย่างอื่น
มาคั่นกลางหรือแทรกระหว่างได้เลย
มิจฉัตตนิยตธรรม มี ๒ อย่างคือ
(๑)
นิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม
(๒)
ปัญจานันตริยกรรม
นิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม
นิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม
มี ๓ อย่างคือ
(1) นัตถิกทิฏฐิ
คือ
การมีความเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายที่จะได้รับความดีความชั่ว
ที่จะได้มีความสุขหรือความทุกข์ ฯลฯ ในภพข้างหน้านั้น
ไม่ได้เป็นผลสืบเนื่องไปจากการกระทำอันเป็นบุญหรือเป็นบาปของตนเอง
ที่ตนทำไว้ในชีวิตปัจจุบัน
(2) อเหตุกทิฏฐิ
คือ
การมีความเห็นว่าความดี ความชั่ว ความสุข ความทุกข์ ฯลฯ
ที่สัตว์ทั้งหลายได้รับอยู่ในชีวิตปัจจุบันนี้
ไม่ได้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำอันเป็นบุญหรือเป็นบาปของตนเองในภพก่อน
(3) อกริยทิฏฐิ
คือ มีความเห็นว่าการกระทำของสัตว์ทั้งหลาย
ถึงแม้ว่าจะทำดีก็ไม่ชื่อว่าเป็นบุญ ถึงแม้กระทำชั่วก็ไม่ชื่อว่าเป็นบาป
แต่เชื่อว่าการกระทำไม่ว่าดีหรือไม่ดีก็แค่เป็นไปตามธรรมดา
ไม่เชื่อบุญไม่เชื่อบาป
ปัญจานันตริยกรรม
ปัญจานันตริยกรรม มี ๕
คือ
1. มาตุฆาต - ฆ่ามารดา
2. ปิตุฆาต - ฆ่าบิดา
3.
อรหันตฆาต - ฆ่าพระอรหันต์
4. โลหิตุปบาท -
ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิต
5. สังฆเภท -
ยุให้พระสงฆ์แตกหมู่แตกคณะกัน
อันนี้ ท่านอธิบายว่า
อกุศลกรรมทั้ง ๘ ประเภทนี้ (นิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม ๓ และปัญจานันตริยกรรม ๕)
ถ้าหากใครกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งในนี้แล้ว
เมื่อสิ้นชีวิตก็จะต้องได้รับผลของกรรมนั้นทันที
ถึงแม้ว่าก่อนตายจะสร้างบุญใหญ่บุญดีเลิศขนาดไหน
บุญทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่อาจช่วยให้พ้นไปจากการต้องรับผลกรรมชั่วเหล่านี้ทันทีที่ตายลงได้เลย
ถ้าหากใครได้กระทำกรรมไว้ทั้งสองอย่าง
คือทั้งปัญจานันตริยกรรมข้อใดข้อหนึ่ง
กับนิยตมิจฉาทิฏฐิกรรมข้อใดข้อหนึ่ง
ในชีวิตนั้นแล้ว
กรรมจากนิยตมิจฉาทิฏฐิกรรมจะเป็นกรรมที่ส่งให้ได้รับผลทันทีที่ตาย
นี่ก็แสดงว่า
กรรมจากความเห็นผิดทั้ง ๓ ประการ อันเห็นผิดถาวร เห็นผิดอย่างมั่นคง
ปักใจอย่างแน่วแน่ ใน ๓ ประการข้างบนนี้ เป็นกรรมหนักที่สุด
หนักยิ่งกว่าปัญจานันตริยกรรม
ความเห็นผิด
จึงน่ากลัวนัก และนอกจากนี้ เมื่อเห็นผิดแล้ว ก็จะทำให้คิดผิด เชื่อผิด
กระทำอะไรต่ออะไรผิด ๆ
เช่น เมื่อไม่เชื่อบาปบุญก็เลยไม่ทำบุญ
ไม่เชื่อบาปก็เลยทำบาปได้
ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรม ก็จะทำได้ทั้งดีและไม่ดี
เพราะว่าไม่เชื่อว่าความดีจะส่งผลเป็นสิ่งที่ดี
เพราะไม่เชื่อว่าความชั่วจะส่งผลเป็นสิ่งที่ชั่ว
ชีวิตก็จะมีแต่ตกต่ำดิ่งลึกลงไปในหุบเหวแห่งความเห็นผิด และการกระทำกรรมไม่ดี ยิ่ง
ๆ ขึ้นไปได้
ไกลออกไปทุกทีจากกรรมดี จากเส้นทางแห่งปัญญา
และจากการชำระจนให้มีจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ เปี่ยมไปด้วยปัญญา
ไกลออกไปยิ่ง
ๆ จากแสงสว่างทางธรรม ไกลออกไปจากการพ้นทุกข์.
ตามที่ได้เล่าไว้ว่าโดยหลักการแล้ว
หากบุคคลใดละเมิดกรรมทั้งสองอย่าง
คือกระทำทั้ง นิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม และ
ปัญจานันตริยกรรม ในชีวิตนั้น
ๆ
กรรมที่จะส่งผลก่อนเพราะถือเป็นกรรมหนักกว่าก็คือ
กรรมจากนิยตมิจฉาทิฏฐิ
สิ่งที่จะมาขอเพิ่มเติมให้ครบถ้วนก็คือ
ในกรณีนี้ เมื่อนิยตมิจฉาทิฏฐิกรรมให้ผลไปก่อนแล้ว แต่กรรมที่กระทำอนันตริยกรรม
(คือ กระทำปัญจานันตริยกรรมข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อ) ก็ยังคงอยู่ ไม่ได้หายไปไหน
ไม่ได้กลายเป็นอโหสิกรรมไปแต่อย่างใด
ตรงกันข้าม อนันตริยกรรมที่ได้กระทำไปนั้น
ๆ จะรอส่งผลต่อ ๆ ไปเรื่อย ๆ ขณะใดก็ตามที่มีโอกาส.