ครั้งหนึ่ง นายสารถียอดครูฝึกม้า ได้เดินทางมาเยี่ยมพบเพื่อสนทนาธรรมเป็นครั้งแรกกับพระพุทธเจ้า พอไปถึง เขาก็ไหว้ทักทายพระพุทธองค์
พระพุทธองค์ทรงถามว่า ได้ข่าวว่า เขาเป็นยอดนายสารถีผู้ฝึกม้า เขามีวิธีการฝึกม้าอย่างไรบ้าง
นายสารถีบอกว่า เขาก็ฝึกโดยใช้ 3 วิธี คือ วิธีรุนแรง วิธีละม่อม และวิธีผสมระหว่างรุนแรงกับละม่อม
พระพุทธองค์ทรงบอกต่อว่า แล้วถ้ามีม้าที่ฝึกทั้ง 3 วิธีแล้วยังไม่ได้ผลล่ะ
นายสารถีก็บอกว่า ถ้าเช่นนั้น เขาก็ต้องฆ่าเสีย เพราะฝึกไปก็จะเสียชื่อ ยอดผู้ฝึกม้าเช่นเขา
พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า สมเป็นยอดผู้ฝึกม้าจริง ๆ
คราวนี้เขาจึงถามกลับว่า แล้วพระพุทธองค์ก็ได้ชื่อว่าเป็นยอดครูผู้ฝึกคนนั้น พระพุทธองค์มีวิธีการฝึกคนอย่างไร
พระพุทธองค์ทรงบอกว่า ก็เหมือนเขาฝึกม้านั่นแหละ คือ ฝึกโดยวิธีละม่อม วิธีรุนแรง วิธีผสม
วิธีละม่อม คือ ทรงพรรณนาอานิสงส์ของก็ทำความดี ว่าจะทำให้มีสุคติเช่น สวรรค์ พรหม นิพพานเป็นที่ไป
วิธีรุนแรง คือ ทรงพรรณนาโทษของการทำความชั่ว ว่าจะต้องตกอบายภูมิ 4 มีสัตว์นรก เปรต เดรัจฉาน อสุรกาย เป็นที่ไป
วิธีผสมทั้งละม่อมและรุนแรง คือ ทรงพรรณนาทั้งคุณของความดีและโทษของความชั่วไปด้วยกัน
นายสารถีถามต่อว่า หากมีใครไม่สามารถฝึกได้ทั้ง 3 วิธีที่กล่าวมาล่ะพระพุทธองค์จะทำอย่างไร
พระพุทธองค์ทรงตอบว่า ก็จะทรงฆ่าเสีย
นายสารถีตกใจเล็กน้อย บอกว่า พระพุทธองค์เป็นนักบวช จะฆ่าสัตว์ตัดชีวิตได้อย่างไร
พระพุทธองค์ทรงตอบว่า ไม่ได้ฆ่าแบบนั้น แต่ทรงฆ่าให้ตายจากความดี ด้วยการงดสั่งสอนเสีย เพราะหากฝากตัวเป็นสาวก แล้วไม่เชื่อฟังที่ศาสดาสอน จะได้ชื่อว่าเป็นสาวกของพระพุทธองค์ได้อย่างไร
นายสารถี สีหน้าพอใจ จึงประกาศว่า “แจ่มแจ้งจริงหนอ ธรรมะของพระพุทธเจ้า เสมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง จุดประทีปในที่มืด ข้าพเจ้าขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่ง นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป” .