สุพรหมสูตรที่ ๗ เรื่องโทมนัสของสุพรหมเทพบุตร
แม้สุพรหมเทพบุตร อันนางเทพอัปสรพันหนึ่งห้อมล้อม ก็เสวยสวรรคสมบัติ.
ในจำพวกนางเทพอัปสรพันหนึ่งนั้น นางเทพอัปสรห้าร้อยมัวเก็บดอกไม้จากต้น ก็จุติไปเกิดในนรก สุพรหมเทพบุตรรำพึงว่า ทำไมเทพอัปสรเหล่านี้จึงชักช้าอยู่ ก็รู้ว่าพวกนางไปเกิดในนรก จึงหันมาพิจารณาดูตัวเองว่า อายุเท่าไรแล้วหนอ ก็รู้ว่าตนจะสิ้นอายุ จะไปเกิดในนรกนั้นด้วย ก็หวาดกลัว เกิดโทมนัสอย่างยิ่ง เห็นว่า พระบรมศาสดาเท่านั้น จะยังความโทมนัสของเรานี้ให้พินาศไป ไม่มีผู้อื่นแล้ว ก็พานางเทพอัปสรห้าร้อยที่เหลือ เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
[๒๖๔] สุพรหมเทวบุตร ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
จิตนี้สะดุ้งอยู่เป็นนิตย์ ใจนี้หวาดอยู่เป็นนิตย์
ทั้งในกิจที่ยังไม่เกิดขึ้น ทั้งในกิจที่เกิดขึ้นแล้วก็ตาม
ถ้าความไม่สะดุ้งกลัวมีอยู่ ขอพระองค์ที่ถูกทูลถามแล้ว
โปรดตรัสบอกความไม่หวาดสะดุ้งนั้น แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด ฯ
[๒๖๕] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
นอกจากปัญญาและความเพียร นอกจากความสำรวมอินทรีย์
นอกจากความสละวางโดยประการทั้งปวง
เรายังไม่เห็นความสวัสดีแห่งสัตว์ทั้งหลาย ฯ
ในที่สุดเทศนา สุพรหมเทพบุตรก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล พร้อมด้วยนางเทพอัปสรห้าร้อย ทำสมบัตินั้นให้ถาวรแล้วกลับไปยังเทวโลก.
มรรคนี้อันบุคคลเจริญแล้ว บัณฑิตพึงทราบว่า ย่อมเป็นไปเพื่อดับโทมนัส ดังกล่าวมานี้.
สรุปในพระสูตรนี้
เมื่อใดที่มีความสะดุ้งหวาดกลัว หวั่นไหวต่อเหตุการณ์ใด ๆ จงนึกถึงธรรม ๔ ประการนี้คือ
๑. ปัญญา
๒. ความเพียร
๓. ความสำรวมอินทรีย์
๔. ความสละวาง
ธรรม ๔ ประการนี้มีขึ้นเมื่อใด เมื่อนั้นจักปราศจากความสะดุ้งหวาดกลัว ไม่หวั่นไหวต่อเหตุการณ์ทั้งหลาย และมีความสวัสดีในที่ทั้งปวง.