โดย โดยพระชุมพล พลป...
- จะนับว่าเป็นสัมมาทิฏฐิอย่างยิ่งที่เราจะรู้สึกว่าสิ่งที่บีบคั้นเรา อย่างแสนจะที่สุดนั้นก็คือกายและจิตของเรานั่นเอง
-
ภูติผีปีศาจ สัตว์ร้าย คนดุทั้งหลาย ไม่น่ากลัวเลย จิตที่ตั้งไว้ผิดนั้น น่ากลัวมากกว่านัก
-
ทุกข์ทั้งหลายมีอยู่อย่างพร้อมมูล ชนิดครบวงจรอยู่ที่กายและจิตของเราแล้ว ไม่ต้องไปแสวงหาจากที่ไหนเลย
-
สถานที่ใดที่ยังมีรูปธรรม นามธรรม สถานที่นั้นย่อมจะประกอบไปด้วยทุกข์อย่างมิอาจที่จะหลบเลี่ยงไปได้นิพพาน สุขัง เนื่องจากนิพพานปราศจากรูปธรรม นามธรรม จึงปราศจากการถูกบีบคั้นจากรูปธรรม นามธรรม เพราะฉะนั้น นิพพานจึงเป็นสุขอย่างยิ่ง สุขอย่างแท้จริง เพราะว่าไม่อิงอาศัยรูปธรรมและนามธรรมใด ๆ ทั้งสิ้น
- ความคิดที่จะมาเอาอะไรจากโลกนี้นั้น เดือดร้อนที่สุด
- เมื่อไหร่ เราจึงจะเลิกเกิดเสียที
-
ที่เราพอจะเอาตัวรอดไปได้เรื่อย ๆ ก็เพราะว่าเรารู้สึกว่าเราไม่มีดีอะไร และต้องคอยแก้ไข ปรับปรุงสภาวะจิตไปเรื่อย ๆ นักปฏิบัติธรรมคนไหน ถ้าหากไปรู้สึกว่า ตัวดี ตัวเก่ง ตัววิเศษ แล้วละก้อ เจ๊งทุกรายไป
-
ความคิดมุ่งมั่นตั้งเป้าว่าจะทำอะไรให้สำเร็จเป็นอัศจรรย์ เป็นมานะอย่างหนึ่ง มานะที่ว่านี้เอง เป็นรากเหง้าทั้งราคะและโทสะ
-
อวิชชาตัวสุดท้าย คือ อุปาทานยึดมั่นในความมีอยู่
-
ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม ไม่กำหนดหยั่งรู้ทุกข์ ไม่บรรลุธรรม
-
ต้นเหตุแห่งความเดือดร้อนทั้งหมด อยู่ที่กายและจิตเราเท่านั้น
-
ยิ่งเข้ามาพิจารณากายและจิตอย่างใกล้ชิดมากเท่าไหร่ ยิ่งเห็นแต่ความน่าเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ยิ่งเห็นแต่ความน่าถอนความยึดมั่น อุปาทาน ว่าเป็นตัวเราของเรายิ่งขึ้นเท่านั้น
-
จิตเอ๋ย มึงจะขึ้นลงอย่างไร กูก็ไม่เอากับมึงแล้วโว้ย (อตัมมยตา)
-
จิตเอ๋ย มึงเอาการบรรลุธรรมมาล่อ ให้กูไปหลงยึดมึงเป็นตัวกูของกูต่อไป ก็เลยต้องเดือดร้อนกับมึงไปอีกไม่รู้จักจบ กูไม่เอากับมึงแล้วโว้ย (อตัมมยตา)
-
ที่มันยากก็ตรงนี้เอง คือ ตั้งหน้าตั้งตารักษาจิตโดยไม่ยึดว่าจิตเป็นตัวเราของเรา
-
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ สิ่งที่เรายึดมั่นที่สุดนั่นเอง สิ่งที่ทำให้เราเดือดร้อนที่สุดก็คือ สิ่งที่เรารักที่สุดนั่นเอง
-
ของที่บังคับบัญชาไม่ได้ ไปยึดเอาไว้ทำไม
-
ตา รูป จักษุวิญญาณ จักษุสัมผัสสชาเวทนา บังคับบัญชาไม่ได้
-
หู เสียง โสตวิญญาณ โสตสัมผัสสชาเวทนา บังคับบัญชาไม่ได้
-
จมูก กลิ่น ฆานวิญญาณ ฆานสัมผัสสชาเวทนา บังคับบัญชาไม่ได้
- ลิ้น รส ชิวหาวิญญาณ ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา บังคับบัญชาไม่ได้
-
กาย โผฏฐัพพะ กายวิญญาณ กายสัมผัสสชาเวทนา บังคับบัญชาไม่ได้
- ใจ ธัมมารมณ์ มโนวิญญาณ มโนสัมผัสสชาเวทนา บังคับบัญชาไม่ได้
-
สิ่งเหล่านี้ไปยึดเอาไว้ทำไม
-
กิเลสทั้งหลาย ย่นลงมาเหลือตัณหา ๓ คือ อยากให้มา อยากให้อยู่ อยากให้ไป
- ยิ่งปล่อยให้จิตเตลิดเปิดเปิงไปไหน ก็ยิ่งเดือดร้อนมากยิ่งขึ้นทุกที ดึงจิตให้มาหยุดในหยุดดีกว่า วิ่งตามโลกจะไปจบลงเมื่อไหร่เล่า
-
ผมชอบฉายาของพระมาก ๆ อยู่ ๓ ฉายา
-
๑. อนาลโย แปลว่า ผู้ไม่มีอาลัยในสิ่งใด
-
๒. ทานรโต แปลว่า ผู้ยินดีในการให้ ยินดีในการเสียสละ
- ๓. จันทูปโม แปลว่า ผู้อุปมาด้วยพระจันทร์ หมายถึง
ผู้ไม่ข้องติดด้วยตระกูล คือ
พระพุทธองค์ทรงเปรียบภิกษุผู้ไม่ข้องติดหมู่ญาติโยมผู้อุปัฏฐากทั้งหลาย
เป็นประดุจกับพระจันทร์ที่โคจรผ่านบ้านแล้วบ้านเล่า
แล้วก็จากไปอย่างไม่อาลัยติดข้อง
ซึ่งพระองค์ได้ทรงยกย่องพระมหากัสสปะในเรื่องนี้เอาไว้มากทีเดียวว่าเป็นผู้
จันทูปโม บุคคลผู้อุปมาด้วยพระจันทร์
- พระมหาสาวกอีกองค์ที่ผมเลื่อมใสในปฏิปทาของท่านมาก คือ พระนาลกะ ผู้ประพฤติโมเนยยปฏิปทา เป็นทั้งผู้ไม่มีอาลัย และผู้อุปมาด้วยพระจันทร์ ประวัติของท่านช่างน่าเลื่อมใสศรัทธาในความใจเด็ด และความมักน้อยสันโดษเสียเหลือเกิน
-
หาคนอื่นทำไม หาตัวเองดีกว่า คิดถึงคนอื่นทำไม คิดถึงตัวเองดีกว่า ระลึกถึงคนอื่นทำไม ระลึกถึงตัวเองดีกว่า
-
เที่ยวหาคนอื่น ไปหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จงหันเข้ามาหาตัวเองเถิด เจอแน่
-
มองขันธ์ ๕ ให้เป็นมายาให้หมด
-
เราเหมือนหลับฝันอยู่ในบ้านไฟไหม้ นั่งเพลินอยู่ในถ้ำมีเสือซะแล้ว ขันธ์ ๕ มันเจ็บปวดเดือดร้อนทุกข์เข็ญเป็นสาหัสอย่างนี้ ยังมานิ่งนอนใจอยู่ได้
-
จิตที่คอยเดือดร้อน กระวนกระวาย ห่วงหาอาทรขันธ์ ๕ นั้น เป็นจิตที่งี่เง่าที่สุด
-
ที่เราเที่ยวไปเนี่ย เที่ยวไปหาใคร ? ทำไมไม่หันเข้ามาหาตัวเอง
-
เวลาเจอปัญหาอย่าเพิ่งรีบท้อแท้ ตั้งสติให้ดี เดี๋ยววิธีแก้จะผุดขึ้นมาเอง
-
ฟ้าไม่โหดร้ายกับผู้ที่ใฝ่กุศลด้วยใจบริสุทธิ์หรอกน่า
-
อย่าเพิ่งรีบตีโพยตีพายไปกับสิ่งใดๆ ถ้าจิตเราบริสุทธิ์ จะไม่เจอทางตันแน่ๆ
-
หน้าที่ของผู้ปฏิบัติธรรม คือ มาชนะใจตนเอง
-
ถ้าเป็นสุขอยู่ได้ด้วยการเพลิดเพลินอดีต ปรุงแต่งอนาคต ก็แสดงว่าก้าวพลาดเสียแล้ว
-
อย่าปล่อยให้จิตอยู่ในระดับแห่งความคิดคำนึงอันเกี่ยวเนื่องด้วยกาย ถอนจิตให้หลุดลอยออกไปจากระดับแห่งความคิดคำนึงอันเกี่ยวเนื่องด้วยกายทั้งมวลเสีย วางจิตให้อยู่ในระดับที่มีกายเหมือนไม่มีกาย สักแต่ว่าอาศัยกายนี้ประกอบกิจต่างๆ ไปเท่านั้น ไม่ยินดียินร้าย ตื่นเต้นลิงโลด ดีใจเสียใจ ไปกับความเปลี่ยนแปลงขึ้นลง เจริญเสื่อม ของกายเลยแม้แต่น้อย
-
แม้แต่กายเราเองก็ยังต้องละ กายคนอื่นไม่ต้องพูดถึงแล้ว
-
เบื้องต้นของการปล่อยวางตัวตน ให้ถอนตรงกาย เวทนา และจิต ว่าไม่ใช่ตัวเราของเราก่อน แล้วต่อไปให้ไปพิจารณาถอนอุปาทานตรงธรรมะ ว่าสภาวะธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา แล้วปล่อยวางความยึดมั่นในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเสียให้สิ้นเชิง
-
การหนีปัญหา คือ การเริ่มต้นของปัญหาใหม่อีกอันหนึ่ง
-
เราบังคับบัญชารูปไม่ได้ ถ้าไปยึดมั่นเมื่อตาเห็นรูป ก็เดือดร้อนนะซิเราบังคับบัญชาเสียงไม่ได้ ถ้าไปยึดมั่นเมื่อหูยินเสียง ก็เดือดร้อนนะซิ
เราบังคับบัญชากลิ่นไม่ได้ ถ้าไปยึดมั่นเมื่อจมูกได้กลิ่น ก็เดือดร้อนนะซิ
เราบังคับบัญชารสไม่ได้ ถ้าไปยึดมั่นเมื่อลิ้นได้รส ก็เดือดร้อนนะซิเราบังคับบัญชาโผฏฐัพพะไม่ได้ ถ้าไปยึดมั่นเมื่อกายได้โผฏฐัพพะ ก็เดือดร้อนนะซิ
เราบังคับบัญชาธัมมารมณ์ไม่ได้ ถ้าไปยึดมั่นเมื่อใจได้ธัมมารมณ์ ก็เดือดร้อนนะซิ
- ถ้าถอนความยึดมั่นยินดียินร้ายจากคำพูดของคนไปได้ ก็หมดความเดือดร้อนไปเยอะเลย
-
อายตนะทั้ง ๖ คู่ ประดุจก้อนเหล็กที่ไฟเผาจนโชนแดง ใครเข้าไปจับก็เดือดร้อนเอง
-
ยุทธภูมิในการสู้กิเลส จะไปรวมลงที่ใจกับธัมมารมณ์
-
สิ่งที่เห็นด้วยตาทั้งหมดเป็นมายาทั้งสิ้น สิ่งที่ได้ยินด้วยหูทั้งหมดเป็นมายาทั้งสิ้น สิ่งที่ได้กลิ่นด้วยจมูกทั้งหมดเป็นมายาทั้งสิ้น สิ่งที่ลิ้มรสด้วยลิ้นทั้งหมดเป็นมายาทั้งสิ้น สิ่งที่รับสัมผัสด้วยกายทั้งหมดเป็นมายาทั้งสิ้น สิ่งที่รู้ด้วยใจทั้งหมดเป็นมายาทั้งสิ้น สภาวธรรมทั้งหมดเป็นมายาทั้งสิ้น
-
มันเป็นมายาทั้งสิ้น เพราะว่าเกิดแล้วดับทั้งนั้น ไม่มียืนยงคงอยู่ถาวรไปจริงแม้แต่นิดเดียว
-
มันเป็นจริงเป็นจังเพราะถูกกิเลสหลอกนั่นเอง
-
กายก็เป็นมายา เวทนาก็เป็นมายา จิตก็เป็นมายา สภาวธรรมทั้งหลายทั้งปวงล้วนแล้วแต่เป็นมายา
-
จะละกายได้ต้องตีให้แตกในด่านเวทนา จะละเวทนาได้ต้องตีให้แตกในด่านจิต จะละจิตได้ต้องตีให้แตกในด่านธรรม
-
เรามาแสวงหาความสุขในโลกนี้ ที่ไหนจะมีให้เล่า
-
กาย เวทนา และจิต มันก็ไม่อยู่ภายใต้อำนาจบังคับบัญชาแต่ไหนแต่ไรแล้ว อุปาทานไปยึดมันไว้เอง
-
สภาวะที่ไร้อุปาทานนั่นเอง คือสภาวะที่ไร้ทุกข์
-
ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นธรรมชาติธรรมดา อุปาทานนั่นเองที่เป็นตัวไปขวางกระแสของธรรมชาติธรรมดา
-
ขวางไว้ก็ได้แต่เพียงทุกข์เป็นผลตอบแทน
-
อวิชชาคือตัวหลงมายาเป็นของจริง
-
ผู้ประมาทเพราะไม่เห็นทุกข์
-
ความจริงที่หนีไม่พ้น คือ ทุกข์
-
ความสุขไม่มีอยู่จริงในทุกกาล ทุกสถานที่
-
จิตได้เข้ามายึดมั่นในกายโดยหลงว่าเป็นสุข
-
อยากจะกู่ตะโกนร้องให้ก้องฟ้า ว่าสังขารมันทำให้เราทุกข์เดือดร้อนจนแทบบ้า แล้วยังไปยึดมันเอาไว้อีก
-
เราเป็นทุกข์เนื่องจากเวทนา เพราะไปยึดมั่นกับการเสวยมากเกินไป
-
เมื่อเข้ามาหาในตัวเอง ก็ไม่เจอตัวเอง
-
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลก คือ ความยึดมั่นเป็นตัวกูของกู
-
อยู่ให้เห็นทุกข์ ไม่ใช่อยู่ให้เห็นสุข
-
กายนี้ช่างเป็นของสาธารณะของหมู่หนอน หมู่แมลง และเชื้อโรคชนิดต่างๆ โดยแท้
-
ความสืบต่อแห่งกายเป็นไปด้วยความยากลำบาก ความแตกดับ ฉิบหายทำลายแห่งกายเป็นไปได้ ในทุกเวลา ทุกสถานที่ ทุกกาลโดยไม่ยากลำบากเลย
-
ความสามารถในการควบคุมสิ่งต่างๆ ในโลกจะมีประโยชน์อะไรขึ้นมาเล่า ถ้ายังไม่สามารถควบคุมใจตนเอง
-
รู้เรื่องตัวเราดีกว่าไปรู้เรื่องคนอื่น รู้เรื่องจิตเราดีกว่าไปรู้เรื่องจิตคนอื่น
-
สอนตัวเองดีกว่าสอนผู้อื่น ฝึกตัวเองดีกว่าฝึกผู้อื่น ควบคุมตัวเองดีกว่าควบคุมผู้อื่น ปราบตัวเองดีกว่าปราบผู้อื่น ชนะตัวเองดีกว่าชนะผู้อื่น
-
อย่ายึดมั่นอะไรเป็นจริงเป็นจัง เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรจริงจัง
-
สักแต่ว่าดูมัน เกิดเกิด ดับดับ
-
ความรู้สึกที่ว่ามีตัวกูของกู มันฝืนธรรมชาติ
-
ธรรมชาติของโลกคือการยึดถือเอาไว้ไม่ได้
-
ปล่อยได้เมื่อไหร่ก็หมดทุกข์เมื่อนั้น
-
ขอบพระคุณทุกข์ ที่มาสอนให้เราเจียมตัวเจียมตนและไม่ประมาท
-
กายและป่าช้า เป็นเนื้อคู่ของกันและกัน โดยไม่มีใครที่จะมากีดกันบุพเพสันนิวาสของทั้งสองได้เลย
-
การกำเนิดคือการจับจองป่าช้า
-
สวัสดีท่านนักจับจองป่าช้าผู้ไม่เห็นโทษของสังสารวัฏทั้งหลาย ท่านชอบใจชนิดฝัง ชนิดเผา หรือชนิดปล่อยไว้ให้เป็นทานแก่หมู่หนอน สุนัข และแร้งกาทั้งหลายเล่า
-
หนีเท่าไหร่ก็ไม่พ้นหรอก ความตายน่ะ เจ้าโง่เอ๋ย
-
ไม่มีใครที่จะบริสุทธิ์หมดจดประดุจผ้าขาวที่ไร้รอยด่าง การมีข้อบกพร่องเป็นธรรมชาติธรรมดาของคน
-
ราคะเกิดเพราะส่งจิตออกนอก โทสะเกิดเพราะส่งจิตออกนอก โมหะคือตัวทำให้ส่งจิตออกนอก วิชชาและวิมุติ คือ จิตเห็นจิต จิตแจ้งจิต
-
บรรยากาศแห่งการบรรลุธรรม คือ ไม่วุ่นวายไปกับความวุ่นวาย ไม่เดือดร้อนไปกับความเดือดร้อน และไม่ทุกข์ไปกับความทุกข์
-
อยู่ที่นี่ ไม่หนี ไม่สู้ นั่นแหละคือตัวรู้แจ้งเห็นจริง
-
พระยามัจจุราช ได้มาจับจองพื้นที่อยู่ในทุกอณูของอัตภาพนี้ มาตั้งแต่การตั้งขึ้นของความเกิดแล้ว
-
เรากำลังต่อสู้กับความตายที่รู้ผลลัพท์มาตั้งนานแล้วว่าต้องแพ้พันเปอร์เซนต์
-
ทุกอณูของชีวิต ก็คือ ความตาย
-
ทิศทางแห่งการก้าวเดินของทุกชีวิตคือการเดินทางไปสู่ป่าช้า
-
ความสะอาดคือบ่อเกิดแห่งความสกปรกโสโครก ความฉลาดคือบ่อเกิดแห่งความโง่เขลางมงาย
-
ห่วงอะไรไม่ห่วง ดันไปห่วงขันธ์ ๕
-
ตัวหิวกับตัวลุ่มหลงเป็นตัวเดียวกัน ตัวอยากกับตัวยึดเป็นตัวเดียวกัน
-
ตัวรังเกียจกับตัวต้องการเป็นตัวเดียวกัน ตัววิ่งหนีกับตัวเข้าหาเป็นตัวเดียวกัน
-
เพราะเราต้องการจะหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ฉะนั้น ผู้ที่ต้องการไปกับเราจึงหาได้ยาก
-
เพราะสัตว์โลกยินดีในทุกข์ จึงพ้นทุกข์ไปไม่ได้ เพราะสัตว์โลกเทิดทูนบูชาทุกข์ จึงพ้นทุกข์ไปไม่ได้
-
สัตว์โลกทั้งหลาย ช่างหิวกระหายอยากในทุกข์เสียนี่กระไร
-
ทางดับทุกข์ของผู้ยินดีในทุกข์ จักมีมาแต่ที่ไหนเล่า ทางดับทุกข์ของผู้ยินดีในขันธ์ ๕ จักมีมาแต่ที่ไหนเล่า
-
สิทธิพิเศษทำให้เราอ่อนแอ และเห็นแก่ได้
-
รู้ได้ จึงละได้ ละได้ จึงรู้ได้ ถ้ารู้แล้วยังไม่ละก็แสดงว่ายังไม่รู้ ถ้าละแล้วยังไม่รู้ก็แสดงว่ายังไม่ละ
-
ถ้าเห็นโทษแล้วแต่ยังละไม่ได้ ก็แสดงว่ายังไม่เห็นโทษ
-
ต้องปล่อยวางให้หมดนั่นแหละ จึงถึงความสวัสดี ยึดเอาไว้นิดเดียวก็ต้องเดือดร้อนเต็มที่
-
สาธุ โข บรรพชา หาคนอื่นก็ไม่เจอสักที หาตนเองดีกว่า บรรพชา คือ การเข้าหาตนเอง บรรพชา คือ การดับทุกข์
-
การนำจิตให้มาหยุดในหยุด คือ การดับทุกข์อันประเสริฐ โดยไม่ต้องเปลืองปัญญา โดยไม่ต้องเปลืองสมอง
-
การดับทุกข์ต้องเป็นไปในทางสายเอก ทางเส้นเดียวของบุคคลผู้เดียว เป็นไปในที่แห่งเดียว กายเดียว ใจเดียว ไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่ไป ไม่มีญาติ ไม่มีมิตร ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีหญิง ไม่มีชาย ไม่มีคู่รัก ไม่มีคู่เกลียด นั่นแลคือการดับทุกข์ ที่ปราศจากความอาลัยในโลกทั้งปวง เป็นอนาลโยแห่งนิพพานธรรมโดยแท้จริง
-
ที่นำจิตเข้ามาสู่กาย ไม่ใช่เข้ามายึดกาย แต่เพื่อมาอาศัยเป็นฐานที่ตั้งแห่งสติและเพื่อมาเห็นความไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาของกายแล้วก็ปล่อยวางไป
-
มานะ ทิฏฐิ ถือเรา ถือเขา อวดดี อวดเก่ง อวดกล้า อวดดื้อ ถือดี ยกตัว ยกตน ยกหู ชูหาง เป็นผลพวงมาจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนทั้งสิ้น
-
โทษของผู้อื่นเท่าเมล็ดงา ปองติฉินนินทาไม่วายเว้น โทษของตนเองเท่าภูผา ปกปิดรักษาไม่ให้คนอื่นเห็น
-
จะค้นหาอมตะต้องค้นหาในความตาย
-
ต้องผ่านด่านแห่งความตายไป จึงเจอความไม่ตาย
-
กายนี้ยึดไว้ไม่ได้ ถือไว้ไม่ได้เด็ดขาด
-
คอยแบกความดี ความชั่ว ความเจริญ ความเสื่อม ของโลกเอาไว้ มันหนักไม๊วะ
-
พอกันทีกับการเก๊กท่าเพื่อให้ชาวโลกเคารพ ศรัทธา ยกย่อง สรรเสริญ บูชา
-
อุปสรรคที่เป็นเพียงมโนภาพนึกคิดที่คาดเดาว่าจะเกิดนั้น เราฝ่าฟันได้แล้ว แต่กับอุปสรรคที่เป็นของจริงน่ะ เราผ่านได้หรือยัง
-
รู้จากตำรา สู้รู้จากประสบการณ์ในเหตุการณ์จริงไม่ได้
-
อย่ามั่นใจว่าตนเองไม่กลัวตาย ตราบใดที่ยังไม่ได้เผชิญหน้ากับความตาย
-
จงฆ่ากิเลสให้ได้เสียก่อน ก่อนที่มันจะมาฆ่าเรา
-
อย่าทำร้ายตัวเองโดยการประคบประหงมกิเลส
-
ถ้าเราแสวงหาสถานที่ปลอดภัย จะต้องกลัวต่อสถานที่อันตราย
-
ถ้าเราแสวงหาสถานที่สงบ จะต้องกลัวต่อสถานที่วุ่นวาย
-
ถ้าเราแสวงหาสถานที่รื่นรมย์ จะต้องกลัวต่อสถานที่สยดสยอง
-
เราจะเกิดมาทุกข์ทรมานอีกหลายชาติ เพราะติดและอาลัยในรสอาหารหรือไม่
-
คิดถึงคนอื่นทำไม มากำหนดสภาพความเกิดดับของใจดีกว่า
-
คุยกับคนอื่นทำไม คุยกับสภาวะปัจจุบันอารมณ์ของกาย เวทนา จิต และธรรมดีกว่า
-
การหลงเพลินปรุงแต่งไปกับอดีต อนาคต เป็นยาพิษแห่งใจ ขนานร้ายแรงเหลือเกิน
-
อยู่อย่างไร้ค่าเหมือนก้อนหิน ท่อนไม้ ยังดีกว่าที่จะต้องไปแบกความหมกมุ่นกังวล ดีใจ เสียใจ ไปกับเรื่องของคนอื่น
-
อย่าเป็นห่วงกังวลหมกมุ่นกับการดำเนินไปตามกฎแห่งกรรมของสัตว์โลกทั้งหลายทั้งปวง
-
ปัจจุบันอารมณ์มีค่ายิ่งกว่าทองพันชั่ง เพชรหมื่นกะรัต
-
การกราบไหว้เคารพบูชาของคนทั้งโลก ก็ไม่มีค่าแม้แต่เสี้ยวเดียวของการตั้งจิตอย่างมั่นคงแข็งแกร่งในปัจจุบันอารมณ์
-
ปัญหาทั้งหลายทั้งปวง สามารถแก้ได้ด้วยการตั้งสติให้มั่นคง ในปัจจุบันอารมณ์ในฐานทั้ง ๔ ฐานใดฐานหนึ่ง คือ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม
-
จิตที่สิ้นความอาลัยอาวรณ์ ในโลกียสมบัติทั้งปวง แล้วมาตั้งอย่างแน่วแน่ในปัจจุบันอารมณ์ คือ จิตหลุดพ้น
-
ดับทุกข์ได้ก็พอแล้ว ไม่ต้องบรรลุเป็นอะไรหรอก
-
ต้องเผชิญกับทุกข์สุดขีด ปัญญาตัวแท้จึงจะโผล่
-
ปัญญามาพร้อมกับความทุกข์ ไม่ใช่มาพร้อมความสบาย
-
การที่จะอยู่โดยปราศจากทุกข์ ต้องอยู่อย่างปราศจากตัวตนเท่านั้น
-
การหลงติดกับสุขเวทนาไม่ว่าจากอายตนะใดก็ตาม คือการฆ่าตัวตาย
-
มัจจุราช ย่อมตามฆ่าบุคคลผู้เพลิดเพลินหลงเสวยสุขเวทนา เหมือนพรานเบ็ดฆ่าปลาที่หลงเหยื่อ ฉะนั้น
-
ถ้าจะทิ้งกายให้ได้ ต้องทิ้งเวทนาให้ได้ด้วย และต้องทิ้งจิตให้ได้ด้วย
-
ข้าพเจ้าขอร้องไห้ ให้กับความคิดที่อยากจะให้คนมาเคารพยกย่องบูชา จนน้ำตาเป็นสายเลือด
-
การหวั่นไหวต่อโลกธรรม คือความฉิบหายวอดวายของสัตว์โลก
-
โครงการทั้งหลายของเราสามารถผิดพลาดล้มเหลวได้ทั้งสิ้น
-
นิสัยร่าเริง รื่นเริง ของเรา เกิดมาจากการไม่เห็นทุกข์เห็นโทษของโลกหรือเปล่า ?
-
โลกนี้ ย่อมสวยสดงดงามสำหรับคนโง่เสมอ
-
ลาภสักการะและการเคารพบูชาในตระกูลต่างๆ ปรากฏแก่เราประดุจหลุมถ่านเพลิง
-
สังขารที่เที่ยง ไม่มีในโลก
-
ความเข้าใจผิดนั่นเองที่ทำให้เราแสดงออกมาอย่างผิดๆ เราต้องแก้ความเข้าใจผิด เพื่อจะให้เลิกแสดงออกมาอย่างผิดๆ เข้าใจผิด ว่า กายเป็นของเรา เวทนาเป็นของเรา และจิตเป็นของเรา
-
ความยึดมั่นถือมั่นเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความเดือดร้อนทั้งปวง
-
จะเป็นกำไรชีวิตมากเหลือเกิน ถ้าหากจะมีเหตุการณ์ใดๆ ก็ตาม ที่จะมาทำให้เรารู้ว่า ตัวเองยังไม่เก่งจริง ตัวเองยังไม่ดีจริง
-
สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ การหลงว่าสังขารที่แสนทุกข์นั้นเป็นสุข
-
อารมณ์รักที่เกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ใด คือ ปริมาณที่บ่งบอกออกมา ถึงความอ่อนแอของจิต ความหิวโหยของจิต ความไม่เป็นตัวของตัวเองของจิต และความพึ่งตัวเองไม่ได้ของจิต
-
ขอบพระคุณมารที่มาช่วยให้เราได้ธรรมะ
-
อย่าให้คะแนนคนจากรูปร่างหน้าตา
-
สำหรับผู้ที่บรรลุธรรมที่แท้จริง จะไม่มีความรู้สึกอยากจะบอกให้ใครรู้ว่าตัวเองบรรลุธรรมเลย
-
เมื่อถอนอุปาทานได้หมดก็อยู่อย่างไม่ต้องห่วงอะไร
-
ยึดเอาไว้แล้วมันเป็นไปได้อย่างที่ยึดซะเมื่อไหร่
-
ความรักตัดง่าย ความเสียดายตัดยาก
-
อุปาทานคือความยึดว่าเป็นตัวกูของกู ตัณหาคือความเข้าไปเจ้ากี้เจ้าการสรรพสิ่งทั้งหลาย ๓ ประการ คือ อยากให้มา อยากให้อยู่ และอยากให้ไป ตัณหาและอุปาทานทั้ง ๒ นี้ ต่างก็เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน
-
อยากละอุปาทาน ต้องละตัณหาให้ได้ อยากละตัณหาต้องละอุปาทานให้ได้
-
จะละตัณหา ต้องทำทุกสิ่งตามหน้าที่ ไม่ทำด้วยความอยาก
-
ตัณหา ๓ สรุปลงเหลือ ความยินดีและยินร้าย
-
กายนี้ไม่ใช่ของเรา ความเจริญและความเสื่อมของกายนี้ เราไม่รับผิดชอบ
-
ความผิดพลาดทั้งหมดอยู่ตรงที่ การดำรงจิตอยู่ในโลกอย่างมีอุปาทานนั่นเอง
-
ความคิดที่จะเสวยโลกเกิดจากความคิดที่ว่ามีตัวกูของกู
-
และแล้วเราก็เข้าใจผิดคิดว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีอยู่จริง
-
ความเดือดร้อนของเราเกิดมาจากชอบทำอะไรตามใจตัวเอง
-
สิ่งใดร้อน สิ่งนั้นยึดไว้ไม่ได้ สิ่งใดทุกข์ สิ่งนั้นยึดไว้ไม่ได้
-
สถานที่ใดหรือเวลาใดที่อยู่อย่างไม่ได้สัมผัสทุกข์ จงระวังให้ดีว่าความประมาทจะขึ้นขี่คอโดยไม่รู้ตัว
-
จะรู้ว่าใจเราแข็งแกร่งหรือไม่ ต้องดูในสถานการณ์ที่ผจญกับความทุกข์ ไม่ใช่สถานการณ์ที่เสวยความสบาย
-
ขณะที่เผชิญทุกข์นั่นเอง ที่เราจะรู้ได้ว่าเราประมาทในเรื่องอะไรมาบ้างในกาลก่อน
-
จงระวังตนเองจะเป็นคนแข็งกร้าวโดยปราศจากความแข็งแกร่ง
-
เธอไม่ผิดหรอก แต่วิธีที่เธอใช้น่ะมันผิด
-
ความทุกข์เป็นสัญญาณบอกล่วงหน้า ว่าภาวนามยปัญญาจะเกิด
-
จิตที่คิดแสวงหาลาภสักการะ ยศถาบรรดาศักดิ์ การยกย่องสรรเสริญจากฝูงชน เป็นจิตที่นำไปสู่ความฉิบหาย
-
ความประเสริฐอยู่ที่ความบริสุทธิ์ของใจ ไม่ใช่อยู่ที่การยอมรับของสังคม
-
ถอนความรู้สึกว่าเป็นตัวเป็นตน ถอนความคิดอยากให้มา อยากให้อยู่ อยากให้ไป แล้วตั้งจิตเป็นกลางวางเฉยนิ่งอยู่
-
เมื่อถอนอุปาทานที่ยึดมั่นถือมั่นในจิตออกเสียได้ ก็ไม่ต้องไปสนใจแล้วว่าจิตจะบรรลุธรรมหรือไม่ บรรลุธรรมเมื่อไหร่
-
สันติสุขจะหาได้จากใจที่เป็นกลางเท่านั้น
-
และแล้ว ดอกรักก็กลายเป็นดอกโศก
-
ในฐานะที่ไม่มีใครโอ๋ ไม่มีใครช่วยเหลือ ไม่มีใครประคบประหงม ไม่มีใครช่วยปกป้อง ไม่มีใครคอยคุ้มภัย ไม่มีใครคอยอำนวยความสะดวกนั่นแล จึงเป็นโอกาสที่สามารถจะสร้างและบำเพ็ญบารมีขั้นสูงได้
-
เมื่อผ่านสภาวการณ์ที่โหดร้าย จะได้จิตใจที่เข้มแข็งมา
-
ชีวิตคือการเล่นขายของที่โง่เขลาที่สุด เนื่องจากว่าผู้ที่เข้ามาเล่น กลับหลงว่าเป็นเรื่องจริงเรื่องจัง
-
การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ต้องหนีความเดือดร้อน แต่ในขณะที่ความเดือดร้อนบังเกิดขึ้น แล้วเราตั้งจิตให้มั่นคงปล่อยวางได้ นั่นแหละเรียกว่า การบรรลุธรรม
-
ความทุกข์เดือดร้อนทุกชนิดของโลก ถือว่าเป็นครูที่แสนดีที่มาสอนและมาเตือนให้ปล่อยวาง
-
เมื่อสติออกนอกฐาน ญาณก็ตก กิเลสก็เกิด
-
ความสุขที่ต้องอาศัยคนอื่น เป็นความสุขของทาสหรือขี้ข้า
-
จิตที่ไร้อุปาทานคือความมีขอบเขตที่ไร้ขอบเขต
-
ถอนตัณหาออกเสียกระทั่งราก แล้วอยู่อย่างไร้ปัญหาไปตราบจนกระทั่งถึงวันตาย
-
ความไร้ตัวไร้ตน คือ ความที่ทั้งไม่สะอาดและไม่แปดเปื้อน
-
ถ้ายังสะอาดอยู่ ก็ยังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ถ้ายังแปดเปื้อนอยู่ ก็ยังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์
-
สิ่งที่ปิดกั้นขวางทางนิพพานของสัตว์ทั้งหลายอย่างไม่เห็นช่องว่าง คือ ความอวดดื้อ และถือทิฏฐิมานะ
-
ความเข้าใจที่ว่า มีตัวเราตั้งอยู่ตลอดเวลาตลอดกาล เป็นความเห็นผิด
-
ในเมื่อไม่มีตัวเราตั้งอยู่ตลอดเวลา แล้วจิตจะต้องไปแบก ไปหาบ ไปคอน ไปหมกมุ่นกังวล ในสิ่งใดทำไมเล่า
-
สิ่งทั้งปวงเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ชั่วขณะแห่งการผัสสะของอารมณ์เท่านั้น
-
เมื่อตัวแสดงไม่มีเสียแล้ว ละครทั้งเรื่องก็กลายเป็นโมฆะไป เมื่อตัวเราและตัวเขากลายเป็นอนัตตาไปเสียแล้ว เรื่องราวทั้งมวลในโลกจะมีได้อย่างไร
-
ตัวเราก็ไม่มี ตัวเขาก็ไม่มี แล้วจะรักใคร แล้วจะโกรธใคร
-
การบรรลุธรรมไม่ใช่เรื่องของกาย แต่เป็นเรื่องของจิตที่ไปยึดกาย การบรรลุธรรมไม่ใช่เรื่องของจิต แต่เป็นเรื่องของจิตที่ไปยึดจิต
-
ของอะไรก็ตามที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ต้องไม่ใช่ของเราแน่ จิตเป็นของที่เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งจากภายนอกบ้าง จากภายในบ้าง ฉะนั้นจิตต้องไม่ใช่ของเราแน่ ฉะนั้นการที่จะเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในจิตอันไม่ใช่ของเรานั้น ไม่เป็นการสมควรเลย
-
อะไรหนอที่จะเปลี่ยนแปลงได้ไวเท่ากับจิต ฉะนั้นอะไรหนอที่จะไม่น่ายึดมั่นถือมั่นเท่ากับจิต
-
จิตเป็นสิ่งที่ต้องรักษา แต่ก็ต้องรักษาอย่างปล่อยวาง คือรักษาอย่างไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าจิตเป็นเรา เราเป็นจิต
-
อย่าหิวกระหายในการเลื่อนชั้นของจิต
-
เพราะสิ่งทั้งหลายมันไม่แน่นอน จึงยึดเอาไว้ไม่ได้
-
อุปาทานนั่นเองที่เข้ามาตีกรอบไว้ ไม่ให้จิตมีอิสระ
-
ถ้าคิดจะหาความสุขจากสังขารละก้อ งี่เง่าสิ้นดี
-
ธรรมชาติของสังขารทั้งปวงนั้นมันเป็นของว่างอยู่แล้ว แต่ว่าอุปาทานนั่นเองที่เข้าไปยึดไว้ บังตาไว้ ไม่ให้มันว่าง
-
ธรรมชาติเค้าไม่ยอมให้ยึด ไปยึดทำไม
-
ไม่เที่ยงก็เท่านั้น เดือดร้อนก็เท่านั้น บังคับไม่ได้ก็เท่านั้น เจ้าสังขารเอ๋ย
-
เมื่อเข้าไปค้นในกายในใจด้วยปัญญาญาณ ก็เจอแต่ทุกข์ทั้งสิ้น
-
เวลาเบื่อโลกไม่ใช่ต้องหนีโลก แต่ให้ถอนความยึดมั่นถือมั่นเป็นเราเป็นเขาออกจากโลกเสีย
-
ทุกข์ที่ตรงไหน ให้ถอนความยึดมั่นถือมั่นออกจากตรงนั้นก่อน ถอนให้หมด ถอนให้ไม่มีเหลือ
-
ถอนสมมุติทั้งมวลออกให้หมด แล้วอยู่อย่างไร้ตัวกูของกู
-
ของในปัจจุบันเท่านั้นที่มีอยู่ ของในอดีตและของในอนาคตไม่มี
-
รูปธรรมก็สักแต่ว่าเป็นรูปธรรม นามธรรมก็สักแต่ว่าเป็นนามธรรม ไม่มีตัวไม่มีตน
-
อาการยึดมั่นถือมั่นของจิต เกิดจากอำนาจของโมหะ ความไม่รู้
-
เมื่อญาณปัญญาเข้าไปเจาะลึกในขันธ์ ๕ รูปธรรมและนามธรรมก็มีค่าเท่ากัน คือ ไร้ค่าเท่ากัน
-
ทอดอาลัยในกายและจิตอันนี้เสียทีได้แล้ว
-
ถอนอุปาทานออกให้หมด แล้วขันธ์ ๕ นี้มันจะเจริญหรือเสื่อม ได้ดีหรือได้ชั่ว ก็ช่างมันแล้ว
-
ไปบีบเค้นของไร้สาระให้เป็นสาระแก่นสาร มันจะได้หรือ ?
-
ความทุกข์เข็ญ คือ มิตรแท้ของผู้ปฏิบัติธรรม
-
วางอุเบกขาเป็นไม๊ วางอุเบกขาเป็นไม๊ วางอุเบกขาต่อโลกเป็นไม๊
-
เรายังให้คุณค่าความหมายความสำคัญต่อกายมนุษย์อยู่ตราบใด ก็ยังไม่พ้นทุกข์อยู่ตราบนั้น
-
นึกถึงความเจริญรุ่งเรืองของเราแล้วจิตมันรู้สึกเฉยๆ นึกถึงความเสื่อมตกอับของเราแล้วจิตมันรู้สึกเฉยๆ
-
อุเบกขาที่สมบูรณ์ด้วยสตินั่นจึงเป็นอุเบกขาแท้
-
การถอนอุปาทาน จะถอนได้ก็ในขณะที่สติเต็มเปี่ยมเท่านั้น
-
การบรรลุธรรม ไม่ต้องให้ใครมายอมรับและรับรู้ด้วย
-
คิดกำไร ขาดทุน รายได้ รายเสีย มากๆ ทำให้เป็นบ้าได้
-
รู้มากถ้าหากละไม่เป็น ก็ยิ่งบ้ามากขึ้นทุกที
-
จิตที่มีอุปาทานทรงอยู่ในโลกเพื่อรับความเดือดร้อนแท้ ๆ
-
ต้องละอวิชชาให้สิ้นนั่นแล มานะจึงจะขาดลอย
-
คนเรามันพลาดกันได้ แต่ในเมื่อพลาดแล้วก็ขอให้ฉลาดขึ้นกว่าเดิม ไม่งั้นก็จะไม่คุ้มค่าที่พลาด
-
การเข้าไปเสพเสวยรสของโลกคือตัวกาม
-
ความทุกข์ดัดนิสัยคนได้ดีเหลือเกิน
-
การดับทุกข์มีวิธีเดียว คือ เลิกยึดมั่นถือมั่นในทุกข์
-
ปัญญาหมาจนตรอกนั่นแหละ คือ ปัญญาละกิเลส
-
ถามตัวเองดูซิว่า บังคับได้หรือไม่
-
กิเลสทุกตัวมีรากเหง้าอยู่ที่อวิชชา ตราบใดที่ยังไม่ถอนอวิชชาจนรากขาดสะบั้น ตราบนั้นกิเลสทุกตัวก็จะยังไม่หายสาบสูญไปได้อย่างสิ้นเชิง
-
ขอนิยามความหมายของคำว่า กามราคสังโยชน์ และปฏิฆสังโยชน์ ที่พระอนาคามีละ ว่าดังนี้ คือ กามราคสังโยชน์ คือ ความกระตือรือร้นในการยินดี ปฏิฆสังโยชน์ คือ ความกระตือรือร้นในการยินร้าย บุคคลที่เป็นพระอนาคามี ยังมีความยินดีและยินร้ายอยู่ แต่ไม่มีความกระตือรือร้นในการยินดี และไม่มีความกระตือรือร้นในการยินร้าย
-
เราขอมีชีวิตอยู่เพื่อเทิดทูนบูชาความสละ
-
ความสันโดษมักน้อยคือมิตรแท้ของเรา
-
เกี่ยวกับเรื่องธรรมะนั้น เราไม่สามารถที่จะเป็นครูของใครได้ เป็นได้แค่ผู้แนะนำเท่านั้น ครูของคนทั้งหลายก็คือความทุกข์ที่เขาเผชิญอยู่นั่นเอง
-
ชีวิต คือ อะไร ? ชีวิตก็คือสิ่งที่เริ่มต้นด้วยความเกิด และปิดท้ายด้วยความตายยังไงล่ะ
-
… และแล้ว เขาก็กลับคืนสู่ป่าตามเดิม
-
การเจริญสติกับปัจจุบันอารมณ์ให้มากๆ คือทักษะแห่งการดับทุกข์โดยตรง
-
จิตที่ทรงอยู่ด้วยอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อยู่โดยปกติ จะถูกธรรมชาติบีบบังคับให้เข้าสู่นิพพานเป็นเที่ยงแท้
-
บุคคลที่เข้มแข็ง คือ บุคคลผู้อยู่คนเดียว บุคคลที่มีคู่และต้องการคู่ เป็นบุคคลอ่อนแอทั้งสิ้น
-
นะโม ตัสสะ ตัสสะ ตัด ใครผูกใครมัด ตัดด้วย นะโม ตัสสะ … ตัสสะ
-
จิต คือ สภาวะธรรมที่สมบูรณ์อยู่ในตัวของตัวเองแล้ว คือว่าไม่ต้องรักใครก็สามารถดำรงอยู่ได้ และไม่ต้องให้ใครมารักก็สามารถดำรงอยู่ได้
-
ต้องทำตัวให้โดดเด่นนั้น เป็นเงื่อนไขของธรรมะ หรือ ของกิเลส
-
เมื่อหมดตัวหมดตนก็เหลือแต่อุเบกขา และสติ
-
ศีลของเราคือ ‘จาคะ’
-
การจะถอนอุปาทานในบุญนั้น สามารถสร้างบุญได้ แต่ให้ถอนจิตจากการอิงอาศัยสุขโสมนัสอันเนื่องมาจากการสร้างบุญ
-
อย่าหวังอะไรจากใครอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าคนนั้นจะใกล้ชิดสนิทสนมแค่ไหน จนกระทั่งแม้แต่ตัวเองก็หวังอะไรไม่ได้
-
เราหวังอะไรจากสิ่งใดๆ ในปริมาณเท่าใด จะต้องทุกข์เดือดร้อนจากความผิดหวังโดยประมาณเท่านั้น ยิ่งหวังในปริมาณมาก ยิ่งทุกข์เดือดร้อนจากความผิดหวังเป็นปริมาณมากเป็นเงาตามตัว
-
ผลแห่งความสำเร็จทั้งหลาย ไม่ได้เป็นไปตามใจที่หวัง ฉะนั้น ผู้ใดหวังมากย่อมเดือดร้อนมาก
-
ทำทุกสิ่งไปตามหน้าที่แล้วอย่าหวังอะไรให้มาก
-
ตัวหวังกับตัวยึดมั่นถือมั่นก็อันเดียวกันเปี๊ยะเลย
-
ระหว่างคนต่อคน ถ้าหากมีน้ำมิตรซึ่งกันและกันแล้ว อย่าไปดูเพียงมารยาทที่แสดงต่อกันว่าดีหรือเปล่า จงดูเข้าไปถึงว่า มีความจริงใจต่อกันหรือเปล่า หวังประโยชน์เกื้อกูลต่อฝ่ายตรงข้ามหรือเปล่า หวังความเจริญรุ่งเรืองของฝ่ายตรงข้ามหรือเปล่า ขวนขวายเพื่อยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่ฝ่ายตรงข้ามหรือเปล่า
-
อย่าให้คะแนนมารยาท มากกว่าความจริงใจ
-
อย่าให้คะแนนวาจาอ่อนหวาน มากกว่าวาจายังประโยชน์
-
ขอให้น้ำตาแต่ละหยดที่หลั่งไหล จงเป็นน้ำตาแห่งความเด็ดเดี่ยวและเอาจริงเถิด อย่าเป็นน้ำตาแห่งความอ่อนแอและท้อแท้เลย
-
จิตที่ไม่ต้องรักใคร และไม่ต้องการให้ใครมารัก เป็นสุขยิ่งกว่าจิตที่สมหวังในรัก หลายพันเท่านัก
-
ความรักกับความเจ็บปวดเดือดร้อน ไม่ได้มีความหมายแตกต่างกันเลย
-
การงานที่มีสาระที่แท้จริงก็คือ การงานที่ทำเพื่อเป็นปัจจัยแห่งการพ้นโลกเท่านั้น
-
ชีวิตที่มีสาระคือชีวิตที่ไม่มีความอาลัยในชีวิต
-
กายก็มีของมันอยู่อย่างนั้น จิตก็มีของมันอยู่อย่างนั้น แต่ความรู้สึกว่าเรามันไม่มี
-
ความสิ้นอุปาทาน คือ มีจิต มีกาย แต่ไร้เรา
-
เมื่อจิตไม่ต้องการอะไร จึงได้ทุกสิ่ง
-
เมื่อจิตเข้าใจสภาพความจริงอย่างถ่องแท้ แล้วก็ปล่อยให้กระแสทั้งหลายไหลไปอย่างเดิม อยู่อย่างเดิม เป็นอย่างเดิม
-
ที่เรียกว่า บรรลุธรรม นั้น ความจริงไม่บรรลุอะไรเลย
-
เมื่อถอนเราออกเสียได้ ปัจจุบันก็กลายเป็นคำตอบ ไม่ต้องแสวงหาคำตอบจากอดีต และไม่ต้องแสวงหาคำตอบจากอนาคต ปัจจุบันกลายเป็นจุดหมายปลายทางอยู่ในตัวมันตลอดทุกขณะจิต
-
หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เมื่อเลิกหาจึงเจอ เมื่อเจอแล้วก็ไม่รู้หาทำไม ไม่รู้เจอทำไม
-
เมื่อรู้รอบจนจบกระบวนการแล้ว สติและปัญญามันก็ทำงานของมันเองอย่างไม่มีติดขัด ขัดข้องในประการใดเลย
-
พวงหรีดเตือนจิตได้ดีกว่าพวงมาลัย
-
ปริมาณความเข้มข้นแห่งความต้องการเสพโสมนัสเวทนาก็คือ ปริมาณความเข้มข้นแห่งความยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน และก็คือปริมาณความเข้มข้นแห่งความทุกข์เดือดร้อน
-
ปริมาณความเข้มข้นของอุปาทานดูได้จากปริมาณความเข้มข้นของตัณหา ปริมาณความเข้มข้นของตัณหาดูได้จากปริมาณความเข้มข้นของอุปาทาน
-
ความวางเฉยต่อทุกข์ได้นั่นแหละ คือความดับทุกข์
-
การหนีทุกข์ไม่ใช่การดับทุกข์ แต่เป็นการทวีคูณให้แก่ทุกข์
-
การรอคอยสิ่งใดก็ตาม เป็นการกระทำของคนโง่ จิตที่หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงจะไม่รอคอยต่อสิ่งใดทั้งสิ้น
-
จิตที่ตกเป็นทาส จะมีความเปรื่องปราชญ์มาจากไหน
-
จิตที่บ้าอำนาจจะไม่ตกเป็นทาสได้อย่างไร
-
ความเฉยชาต่อปีติ และโสมนัสเวทนา คือแง่มุมหนึ่งของความดับทุกข์
-
จะดับทุกข์ได้ต้องที่ใจที่ถึงพร้อมเต็มเปี่ยมด้วยสติ และอุเบกขาเท่านั้น
-
สติที่เป็นไปในกาย คือ กุญแจดอกสำคัญสำหรับไขปัญหาที่แก้ไขได้ยาก นานับประการเลยทีเดียว
-
ผู้ที่บรรลุถึง วิริยะและขันตินั่นแล จึงจะบรรลุแล้วเห็นเอง
-
การปล่อยวางที่ไม่ถึงพร้อมด้วยสติ ไม่ใช่การปล่อยวาง การบรรลุธรรมที่ไม่ถึงพร้อมด้วยสติ ไม่ใช่การบรรลุธรรม
-
เจอคนรัก มิสู้เจอคนไร้รัก
-
… และแล้ว ก็ไม่รู้จะยึดเอาไว้ทำไม
-
กายนี้ไม่ใช่ของเรา และกายที่เป็นของเราก็ไม่มีด้วย ใจนี้ไม่ใช่ของเรา และใจที่เป็นของเราก็ไม่มีด้วย
-
ผู้ยิ่งใหญ่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ได้อย่างหน้าชื่น
-
การยึดมั่นถือมั่นเป็นการสวนทางกับความจริง เพราะว่าสรรพสิ่งล้วนว่างเปล่า
-
จะขัดแย้งกับอะไรก็ขัดแย้งไปเถอะ แต่ถ้าหากไปขัดแย้งกับความจริงเข้าละก้อ จะมีแต่การขาดทุนฝ่ายเดียว
-
โลกแห่งการปรุงแต่ง น่ากลัวที่สุด
-
ความหลุดพ้นเป็นสิ่งไร้ภาษา
-
กิจกรรมแห่งความไม่ประมาท คือ การกำหนดหยั่งรู้ทุกข์เป็นนิจศีล
-
ความทุกข์คือยาขม สำหรับแก้โรคประมาท
-
ความเจริญรุ่งเรืองในทางธรรม ก็ยังถูกกิเลสนำเอามาเป็นเหยื่อล่อหลอก ให้ผู้ปฏิบัติธรรมลุ่มหลงยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตน เป็นดีเป็นวิเศษเหนือมนุษย์จนได้
-
ผู้ปฏิบัติธรรมที่ไม่มีความอ่อนน้อมถ่อมตัวโดยปริมาณ ยิ่งจะถูกพญามารหลอกให้หลงทางได้ง่ายดายเหลือเกิน
ธรรมภาษิตเหล่านี้ผุดขึ้นมาในจิตขณะปฏิบัติธรรม
ขอให้ถือว่า ธรรมเหล่านี้เป็นสมบัติกลางของธรรมชาติ ไม่ใช่ของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้บันทึกเท่านั้น ฉะนั้น จึงไม่สงวนลิขสิทธิ์
สถานที่บันทึก แม่ฮ่องสอน – เชียงใหม่ (๒๕๓๗)
คุณความดีของบันทึกชุดนี้
ขอถวายบูชาพระคุณของท่านพระครูภาวนานุศาสก์ (แป้น ธมฺมธโร) วัดไทรงาม อ.เมือง
จ.สุพรรณบุรี
ผู้มีเมตตาต่อศิษยานุศิษย์อย่างหาประมาณมิได้