ท่านหลวงตามหาบัว
ถ่ายทอดคำพูดของหลวงปู่มั่นที่เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า
การติดต่อและการแสดงธรรมระหว่างมนุษย์กับเทวดามีความแตกต่างกันมาก
เวลาแสดงธรรมให้เทวดาฟังไม่ว่าเบื้องบน เบื้องล่าง หรือรุกขเทวดา
พวกนี้ฟังเข้าใจง่ายกว่ามนุษย์หลายเท่า พอแสดงจบลงเสียงสาธุการ 3 ครั้ง กระเทือนโลกธาตุ
ขณะที่เทพทุกชั้นภูมิมาเยี่ยมก็มีการเคารพพระอย่างยิ่ง
ไม่เคยเห็นแม้พวกเทพรายหนึ่งแสดงอาการไม่ดีงามกายในใจ
ทุกอาการของเทพอ่อนนิ่มเหมือนผ้าพับไว้เหมือนกันในขณะนั้น ขณะที่มาก็ดี
ขณะฟังธรรมก็ดี ขณะจะจากไปก็ดี
เป็นความเรียบร้อยและสวยงามไปตลอดสาย
แต่เวลาแสดงธรรมให้ชาวมนุษย์ฟังกลับไม่เข้าใจกัน
แม้อธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจ นอกจากจะไม่เข้าใจแล้ว
ยังคิดตำหนิผู้แสดงอยู่ภายในอีกด้วย ว่าเทศน์อะไรฟังไม่รู้เรื่องเลย
สู้องค์นั้นไม่ได้ สู้องค์นี้ไม่ได้ บางรายยังอดเอากิเลสหยาบๆ
อยู่ภายในของตัวออกอวดไม่ได้ว่า สมัยเราบวชยังเทศน์เก่งกว่านี้เป็นไหนๆ
คนฟังฮากันตึงๆด้วยความเพลิดเพลิน ไม่มีอาการง่วงเหงาหาวนอนเลย
ยิ่งเทศน์โจทย์สองธรรมมาสน์ด้วยแล้ว คนฟังหัวเราะกันไม่หุบปากตลอดกัณฑ์
บางคนก็คิดว่าคนร่ำลือกันว่าท่านเก่งมากทางรู้วาระจิตคน
ใครคิดอะไรขึ้นมาท่านรู้ได้ทันที แต่เวลาเราคิดอะไรๆท่านไม่เห็นรู้บ้างเลย
ถ้ารู้ก็ต้องแสดงออกบ้าง
บางรายมาจะจับผิดพลาดด้วยความอวดตัวว่าฉลาดอย่างพอตัว
ผู้นั้นไม่มีความสนใจต่อธรรมเอาเลย แม้จะแสดงให้ผู้อื่นฟังด้วยวิธีใดๆ
ที่เขานั่งฟังอยู่ด้วยในขณะนั้น ก็เหมือนเทน้ำใส่หลังหมานั่นเอง
มันสลัดทิ้งหมดทันทีไม่มีน้ำเหลืออยู่บนหลังมันแม้แต่หยดเดียว
หลวงปู่ท่านว่า
ถ้าไม่จำเป็นจริงๆก็ไม่เทศน์
เพราะการเทศน์เป็นเหมือนโปรยยาพิษทำลายคนผู้ไม่มีความเคารพอยู่ภายใน
ส่วนธรรมนั้นยกไว้ว่าเป็นธรรมที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
มีคุณค่ามหาศาลสำหรับผู้ตั้งใจและมีเมตตาเป็นธรรม ไม่อวดรู้อวดฉลาดเหนือธรรม
ตรงนี้แลสำคัญมาก ขณะที่นั่งฟังอยู่ด้วยกันหลายคน
ผู้ร้อนจนแทบละลายตายไปก็มี ผู้เย็นจนตัวจะเหาพขึ้นอากาศก็มี
มันผิดกันที่ใจดวงเดียวนี้เท่านั้น นอกนั้นไม่สำคัญ
เราจะพยายามอนุเคราะห์เพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบาก็ไม่มีทาง เมื่อใจไม่ยอมรับแล้ว
แม้จะพยายามคิดว่า ถ้าไม่เกิดประโยชน์ก็ไม่อยากให้เกิดโทษ แต่ก็ปิดไม่อยู่
เพราะผู้คอยจะสร้างบาปสร้างกรรมนั้นเขาสร้างอยู่ตลอดเวลา
แบบไม่สนใจอะไรกับใครทั้งนั้น
การเทศน์สั่งสอนมนุษย์ก็นับว่ายากอยู่ไม่น้อย
เวลาเขามาหาเราซึ่งไม่กี่คน โดยมากต้องมียาพิษแอบติดตัวมาจนได้
ไม่มากก็พอให้รำคาญใจได้ ถ้าเราจะสนใจรำคาญอย่างโลกๆ
ก็ต้องได้รำคาญจริงๆแต่นี่ปล่อยตามบุญตามกรรม
เมื่อหมดหนทางแก้ไขแล้วก็เห็นว่าเป็นกรรมของสัตว์
ผู้ตั้งใจมาแสวงหาอรรถหาธรรม
หาบุญหากุศล ด้วยความเชื่อบุญเชื่อกรรมจริงๆก็มี นั่นน่าเห็นใจและน่าสงสารเขามาก แต่มีจำนวนน้อย
ผู้มาแสวงหาสิ่งไม่เป็นท่าและไม่มีขอบเขตนั้นรู้สึกมากเหลือหูเหลือตาพรรณาไม่จบ ฉะนั้นจึงชอบอยู่แต่ในป่าในเขา
อันเป็นที่สบายกายสบายใจทำความเพียรได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
ไม่มีสิ่งรบกวนให้ลำบากตาลำบากใจมองไปทางไหน
คิดเรื่องอะไรเกี่ยวกับอรรถธรรมก็ปลอดโปร่งโล่งใจมองดูและฟังเสียงสัตว์สาราสิงห์
พวกบ่างค่างปางชะนีที่หยอกเล่นกันทั้งห้อยโหนโยนตัวและกู่ร้องโหยหวน
หากันอยู่ตามกิ่งไม้ชายเขา ลำเนาป่า ยังทำให้เย็นตาเย็นใจไปตาม
โดยมิได้มีความรู้สึกว่าอะไรต่อเรา ต่างตัวต่างหากินและปีนขึ้นลงไปตามประสาสัตว์
ทำให้รู้สึกในอิริยาบทและความเป็นอยู่ทุกด้านสดชื่นผ่องใสและวิเวกวังเวง
หากจะมีอันตรายเกิดขึ้นมาในเวลานั้น ก็เป็นไปด้วยความสงบสุขทางกายและจิตใจ
ไม่เกลื่อนกล่นวุ่นวายตามแบบธรรมชาติ
คือมาคนเดียวไปคนเดียว
โดยมากพระสาวกอรหันต์ ท่านนิพพานแบบนี้กันทั้งนั้น
เพราะกายและจิตของท่านไม่มีความเกลื่อนกล่นวุ่นวายมาแอบแฝงมีกายอันเดียว จิตดวงเดียว
และมีอารมณ์เดียว ไม่ไหลบ่าหาความทุกข์ไม่สั่งสมอารมณ์ใดๆ
มาเพิ่มเติมให้เป็นการหนักหน่วงถ่วงตน
ตรงกันข้ามกับที่ว่าหนักเท่าไหร่ยิ่งขนมาเพิ่มขึ้น
เพราะท่านเบาเท่าไหร่ยิ่งขนออกจนไม่มีอะไรจะขน
แล้วก็อยู่กับความไม่มีทั้งๆที่ผู้รู้ว่าไม่มีคือใจก็มีอยู่กับตัว
คือไม่มีงานจะขนออก และขนเข้าอีกต่อไป
เรียกว่าบรรลุถึงขั้นคนว่างงาน ใจว่างงานศาสนาถือว่า การว่างงานแบบนี้มีความสุขอันยิ่งใหญ่
ผิดกับโลกที่ผู้ว่างงานกลายเป็นคนมีทุกข์เพิ่มมากขึ้น
เพราะไม่มีทางไหลมาแห่งโภคทรัพย์
ที่มา : หนังสือประวัติ ข้อวัตรและปฏิปทา
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
บันทึกโดยหลวงตามหาบัว